ผลลัพธ์ที่น่าตกใจของรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3
ไม่ว่าคุณจะรักการเทรดหุ้นหรือไม่ก็ตาม ฤดูแห่งผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ได้เขย่าตลาดการเงินทั่วโลกและไม่ควรที่จะปล่อยผ่านโดยปราศจากการวิเคราะห์ย้อนหลังที่เหมาะสม ธุรกิจในภาคส่วนใดทำงานที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา? บริษัทใดบ้างที่ใกล้จะล้มละลาย? และที่สำคัญที่สุด เราควรรอ “Santa Claus rally” หรือไม่? ในบทความนี้ นักวิเคราะห์ของ FBS จะให้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ทั้งหมด
สรุปรายงานผลประกอบการ
ก่อนที่ฤดูแห่งผลประกอบการไตรมาสที่ 3 จะเริ่มต้นขึ้น โลกได้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เร่งตัวขึ้นด้วยการตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ๆ และแถลงการณ์ของธนาคารกลาง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยืนกรานที่จะกระชับนโยบายการเงินเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อที่สูงมากลงจนข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งในเดือนกันยายนและตุลาคมแสดงสัญญาณของขาลงสำหรับหุ้น แม้จะมีการใช้มาตรการที่ดุดัน แต่อัตราเงินเฟ้อก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสูงเกินกว่าที่คนส่วนใหญ่คิดกันในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวม และคุณจะได้พบกับอนาคตที่น่ากลัวของเหล่าบริษัทน้อยใหญ่ในตลาด
เห็นได้ชัดว่าความคาดหวังในแง่ลบจากบริษัทต่างๆ ทำให้เกิดผลลัพธ์จริงที่ต่ำที่ทำให้นักลงทุนประหลาดใจ เมื่อฤดูแห่งผลประกอบการของบริษัทส่วนมากได้สิ้นสุดลง เราจึงมั่นใจได้ว่านี่เป็นหนึ่งในฤดูที่ดีที่สุดในช่วงสองปีที่ผ่านมา รูปภาพด้านล่างแสดงผลกำรดำเนินงานของ S&P500 ในวันที่มีการรายงานผลประกอบการ
ท่ามกลางภาคส่วนที่กำลังเติบโต ได้แก่ วัฏจักรของผู้บริโภค (Tesla, Amazon, Nike และ Home Depot) เทคโนโลยี (Apple, Microsoft, Nvidia, AMD) และบริการด้านการสื่อสาร (Alphabet, Netflix, Meta) หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทำผลงานออกมาได้ดีหลังจากที่มีรายงานดังคาด เพราะหุ้นเกือบทุกตัวร่วงลง 20-50% ก่อนที่ตัวเลขจริงจะออกมา เห็นได้ชัดว่า บริษัทที่มีขนาดเล็กมีการเติบโตมากขึ้น
Source: https://finviz.com/
เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทอื่นๆ?
คุณน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการเลิกจ้างครั้งใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีขนาดยักษ์ Meta เป็นหนึ่งในบริษัทที่เลิกจ้างเยอะที่สุด โดยมีพนักงานกว่า 11,000 คนถูกไล่ออกในวันที่ 9 พฤศจิกายน การลดลงของรายได้ไม่ได้ชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 ปี 2022 และ Mark Zuckerberg ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทกล่าวว่า Meta อาจประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่กว่าเดิมในการเข้าสู่ Web3 และ Metaverse ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน บริษัทสูญเสีย 76.5% ของเงินทุน
นอกเหนือจาก Meta แล้ว เดือนพฤศจิกายนก็ได้กลายเป็นเดือนที่เลวร้ายที่สุดสำหรับพนักงานของบริษัทเทคโนโลยีขนาดยักษ์ โดยมีการไล่ออกไปแล้วกว่า 36,000 คน และเดือนนี้ก็ยังไม่สิ้นสุดลง หลังจากที่ Elon Musk กลายเป็น CEO ของ Twitter และบริษัทถูกเพิกถอนจาก NYSE บริษัทก็สูญเสียพนักงานไป 50 ถึง 80% โดย Elon Musk แจ้งว่า “การล้มละลายเป็นตัวเลือกในกรณีร้ายแรงที่สุด”
นับตั้งแต่ต้นปี 2022 มีคนถูกไล่ออกแล้วกว่า 200,000 คน และจะเพิ่มมากขึ้นอีกเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวและบริษัทต่างๆ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานของพวกเขาเป็นแบบต่อต้านวิกฤต
Source: https://www.trueup.io/layoffs
หุ้นสหรัฐฯ จะพุ่งขึ้นเมื่อไหร่?
แล้วอย่างน้อยเรามีปัจจัยที่เป็นบวกที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของ New Year rally ในตลาดไหม? คำตอบสำหรับคำถามนี้คือมีสิ ประการแรกเลย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ นั้นออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ การเติบโตของราคาที่ชะลอตัวอาจส่งสัญญาณให้ Fed หยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 bps ในทุกๆ ครั้ง วิกฤตพลังงานในทศวรรษ 1970 สอนเราว่า มันไม่มีที่จะออกจากวงกตเงินเฟ้อไปได้ง่ายๆ และเราอาจได้เห็นราคาที่สูงขึ้นระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม ตลาดอาจผ่อนคลายลงบ้างในช่วง 2-6 เดือนข้างหน้า
นอกเหนือจากนั้น เราก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เลิกจ้างพนักงาน ตลาดโลกถดถอย และอัตราเงินเฟ้อยังคงสูง และนั่นก็ยอดเยี่ยมมาก!
ใช่ เยี่ยมมาก มันไม่มีอะไรผิดพลาดในเรื่องนั้นเลย ในขณะที่ SP500 ร่วงลง อัตราส่วนของ CBOE Put/Call ก็เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนมองว่าตลาดเป็นขาลงและมีแนวโน้มที่จะวางเดิมพันว่าตลาดจะร่วงลงต่อไป โดยสรุปก็คือ ตลาดตกต่ำมากจนเหตุการณ์เชิงบวกหลายๆ เหตุการณ์อาจทำให้ตลาดพุ่งสูงขึ้นได้
ณ ตอนนี้ เรามีเหตุผลหลักสามประการซึ่งเป็นสิ่งทำให้ตลาดเป็นขาลง แต่ละประการสามารถคลี่คลายและทำให้จุดจบของตลาดหมีใกล้เข้ามาได้
- อัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์อาจลดลงในปี 2023
- ความขัดแย้งในยูเครนอาจชะลอตัวลงหากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ผ่อนคลายลง พรรครีพับลิกันที่ได้รับเสียงข้างมากในการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ อาจช่วยได้เช่นกัน
- นโยบายปลอดโควิดในจีนที่สั่นคลอนราคาน้ำมันและความสมดุลของอุปสงค์/อุปทานทั่วโลก
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ปัจจัยบางส่วนข้างต้นเริ่มคลี่คลายแล้ว ทำให้ New Year's rally มีความเป็นไปได้มากขึ้น แม้ว่าแนวโน้มด้านปัจจัยพื้นฐานของบริษัทส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนั้นก็ตาม
สรุป
จากข้อควรพิจารณาที่อธิบายไว้ข้างต้น มีหลายเหตุผลที่ควรจับตาดูแผนภูมิของ S&P 500 (US500) และแผนภูมิหุ้นของบริษัทต่างๆ เพื่อหาจุดเข้าที่ดี โปรดจำไว้ว่าด้วย FBS คุณสามารถวางคำสั่งซื้อและขายตราสารเหล่านี้ได้