5 กลุยทธ์และตัวบ่งชี้แนวรับและแนวต้านยอดนิยม
แนวรับและแนวต้านคืออะไร?
แนวรับหรือระดับแนวรับคือระดับราคาด้านล่างที่ราคาไม่สามารถร่วงลงต่อไปได้อีก ระดับแนวรับจะก่อตัวขึ้นเมื่อราคาเริ่มร่วงลง เมื่อถึงจุดหนึ่ง ราคาก็จะดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อที่เริ่มเข้าสู่ตลาดและผลักดันราคา
ในทางกลับกัน แนวต้านจะเป็นระดับราคาที่ราคาจะเด้งกลับหลังจากพุ่งขึ้น เมื่อราคาแตะถึงระดับหนึ่ง ผู้ขายจะเริ่มขายสินทรัพย์ สร้างแนวต้านและไม่ปล่อยให้ราคาไต่ขึ้นไปสูงกว่านั้นอีก
วันนี้ คุณจะได้เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างแนวต้านและแนวรับ วิธีระบุและขีดเส้นบนแผนภูมิ และตัวบ่งชี้และกลยุทธ์แนวรับและแนวต้านใดบ้างที่คุณสามารถใช้ในการซื้อขายได้
ความแตกต่างระหว่างระดับแนวต้านและระดับแนวรับ
อย่างที่คุณเห็น แนวรับและแนวต้านเป็นปฏิกิริยาของเทรดเดอร์ที่มีต่อการเคลื่อนไหวของราคา ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคือผู้ซื้อจะเป็นผู้สร้างแนวรับเพื่อตอบสนองต่อการลดลงของราคา ในขณะที่แนวต้านเป็นวิธีที่ผู้ขายตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวที่พุ่งสูงขึ้น แนวรับและแนวต้านยังเป็นตัวแทนของอุปสงค์และอุปทานในตลาด: เมื่อมีผู้ซื้อมากกว่าผู้ขายและมีความต้องการสูง พวกเขาจะสร้างแนวรับ จากนั้นราคาก็พุ่งสูงขึ้น และในทำนองกลับกัน
วิธีการระบุระดับแนวรับและแนวต้าน
การระบุระดับแนวรับและแนวต้านจะมีประโยชน์ในตอนที่คุณวางแผนกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ มีหลายแง่มุมที่คุณสามารถวิเคราะห์เพื่อพยายามค้นหาแนวรับและแนวต้าน รวมถึง:
- ข้อมูลราคาในอดีต - แม้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและราคาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไป การมองย้อนกลับไปที่ราคาในอดีตสามารถช่วยให้คุณได้ศึกษาสัญญาณและรูปแบบที่อยู่ก่อนระดับแนวรับและแนวต้าน ซึ่งมันทำให้ง่ายต่อการจดจำเมื่อมันเกิดขึ้นอีกครั้ง
- แนวรับและแนวต้านก่อนหน้า - ระดับแนวรับและแนวต้านก่อนหน้าอาจบ่งบอกถึงจุดเข้าและออกที่เป็นไปได้ และให้แนวคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต เพียงจำไว้ว่าแนวรับและแนวต้านไม่ค่อยจะเกิดขึ้นที่ราคาเท่าเดิม เป็นไปได้ที่ราคาจะทะลุระดับก่อนหน้าแล้วย้อนกลับ ดังนั้นระดับแนวรับและแนวต้านก่อนหน้าจะแสดงให้คุณเห็นพื้นที่ทั่วไปมากขึ้นที่แนวต่อไปอาจเกิดขึ้น
- ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค - ตัวชี้วัดทางเทคนิคสามารถช่วยคุณระบุแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิกในขณะที่ราคาเคลื่อนไหวได้ แต่ละตลาดต่างก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อระดับแนวรับและแนวต้าน ดังนั้นเครื่องมืออื่นๆสามารถพิจารณาปัจจัยเหล่านี้และช่วยให้คุณสามารถระบุระดับเหล่านี้ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
วิธีการลากเส้นแนวรับและแนวต้าน
มีหลายวิธีที่คุณสามารถใช้เพื่อระบุและลากเส้นแนวรับและแนวต้าน นี่คือบางส่วนของวิธีการดังกล่าว
ค้นหายอดและร่อง ในการค้นหา คุณต้องค้นหาจุดสูงสุดและต่ำสุดบนกราฟภายในกรอบเวลาที่กำหนด และทำเครื่องหมายทุกจุดยอดและร่องที่คุณเห็น ขึ้นอยู่กับทิศทางของแนวโน้ม ยอดและร่องจะตรงกับเส้นแนวรับและแนวต้าน ตัวอย่างเช่น ในแผนภูมินี้ คุณจะเห็นว่าในแนวโน้มขาขึ้น เส้นแนวรับจะอยู่ที่จุดต่ำสุดที่ยกตัวขึ้น และเส้นแนวต้านอยู่ที่จุดสูงสุดที่ยกตัวขึ้น ส่วนในแนวโน้มขาลง เส้นแนวรับจะถูกลากที่จุดต่ำสุดที่กดตัวลง และแนวต้านจะอยู่ที่ระดับสูงสุดที่กดตัวลง
ดูที่กรอบเวลาก่อนหน้า ด้วยวิธีนี้ คุณจะต้องตรวจสอบหลายกรอบเวลา กรอบเวลาแคบๆ (10-15 นาที) และอีกสองสามกรอบเวลา (1 ชั่วโมงขึ้นไป) หากเส้นแนวรับและแนวต้านในกรอบเวลาที่สูงกว่านั้นคล้ายกับเส้นในกรอบเวลาที่แคบกว่า จะถือว่าแข็งแกร่งและเชื่อถือได้และสามารถนำมาใช้ในการซื้อขายของคุณได้
ใช้เส้นค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ คุณสามารถลากเส้นแนวรับและแนวต้านได้โดยใช้ตัวบ่งชี้ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ ในการทำเช่นนี้ คุณต้องระบุทิศทางที่แนวโน้มกำลังเคลื่อนไป ระหว่างการเคลื่อนไหวขาขึ้น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะทำหน้าที่เป็นแนวรับ ในขณะที่การเคลื่อนไหวขาลง มันจะทำงานเป็นแนวต้าน แต่อย่าลืมว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะแสดงแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก ซึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงไปตามราคาและไม่น่าเชื่อถือเท่ากับแนวรับและแนวต้านแบบคงที่ ดังนั้นไม่ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่โดยไม่มีวิธีสำรองอื่น
กลยุทธ์การซื้อขายด้วยแนวรับและแนวต้าน
เทรดเดอร์จำนวนมากจะวางแผนกลยุทธ์การซื้อขายของพวกเขารอบๆแนวรับและแนวต้าน ซึ่งกลยุทธ์ง่ายๆก็คือซื้อเมื่อราคาอยู่ใกล้แนวรับ และขายเมื่อราคาอยู่ใกล้แนวต้าน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด สิ่งสำคัญคือก่อนตัดสินใจ ต้องรอการยืนยันว่าระดับแนวรับหรือแนวต้านจะสามารถรับราคาเอาไว้ได้
นอกจากนี้ คุณควรเลือกจังหวะปิดคำสั่งซื้อล่วงหน้า หากคุณเห็นแนวรับและแนวต้านที่แข็งแกร่ง คุณสามารถใช้มันเพื่อประโยชน์ของคุณ: ซื้อก่อนที่ราคาจะถึงระดับแนวรับที่แข็งแกร่งและขายก่อนที่มันจะเด้งออกจากแนวต้านที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากคุณไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ว่าราคาจะเด้งออกจากระดับหรือไม่
ณ จุดนี้ คำสั่ง Stop Loss สามารถช่วยคุณได้ ปกติแล้ว เทรดเดอร์จะวางคำสั่งนี้ไว้ใต้ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุด อย่างไรก็ตาม การทะลุหลอกก็มักจะเกิดขึ้นในระดับดังกล่าว ดังนั้น เราขอแนะนำให้คุณขยับ stop loss ของคุณให้ไกลจากแนวรับไปอีกเล็กน้อย ด้วยวิธีนี้ คุณจะได้กำไรน้อยลง แต่เพิ่มความปลอดภัยจากการเคลื่อนไหวที่วุ่นวายของราคา
คำสั่ง Take Profit มักจะถูกวางไว้ที่แนวต้านที่ใกล้ที่สุด คำสั่ง Stop Losses จะปิดคำสั่งของคุณไปอย่างสมบูรณ์ แต่คำสั่ง Take Profit สามารถแบ่งออกเป็นหลายส่วนเพื่อปิดตำแหน่งของคุณบางส่วนที่เส้นแนวต้านเส้นอื่น ด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถเทรดได้โดยปราศจากความเสี่ยงและทำเงินมากขึ้นในกรณีที่ราคาเคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการ
5 กลุยทธ์และตัวบ่งชี้แนวรับและแนวต้านยอดนิยม
จุดสวิงสูงสุดและจุดสวิงต่ำสุด
เริ่มต้นด้วยคำจำกัดความของ "จุดสวิงสูงสุดและจุดสวิงต่ำสุด" (การเทรดสวิง) จุดสวิงสูงสุดคือราคาสูงสุดในการเคลื่อนไหวของราคา ในการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลง ราคาจะเคลื่อนที่เป็นคลื่น ดังนั้น จุดสวิงสูงสุดจะหมายถึงราคาสูงภายในคลื่น ก่อนที่ราคาจะกลับลงมา ในทางตรงกันข้าม จุดสวิงต่ำสุดจะหมายถึงราคาต่ำสุดภายในคลื่น ก่อนที่ราคาจะกลับตัวขึ้น
มันเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ง่ายที่สุด คุณจะพบทุกสิ่งในกราฟราคา และคุณไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือตัวชี้วัดใดๆเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่คุณต้องทำคือทำเครื่องหมายจุดสูงสุดและต่ำสุดก่อนหน้าที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งตามปกติ คุณควรค้นหาจุดสูงสุดและต่ำสุดที่อยู่ใกล้กับราคาปัจจุบัน เลือกระดับที่ชัดเจน ซึ่งเป็นระดับที่ราคาไม่สามารถทำลายได้และทำให้เกิดการกลับตัว มันอาจจะไม่ใช้ระดับนั้นเป๊ะๆเนื่องจากราคาแทบจะไม่หยุดที่ระดับเดียวกัน แต่อาจจะสูงกว่าหรือต่ำกว่านั้นหลายจุด ในการทำเครื่องหมายระดับที่คุณพบ ให้ลากเส้นแนวนอน
สังเกตว่ายิ่งราคากลับตัวจากระดับนี้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมันเป็นจิตวิทยาของการซื้อขาย เทรดเดอร์เกือบทุกรายวาง Stop Loss ไว้ใกล้แนวรับหรือแนวต้าน ดังนั้นนักปั่นตลาดจึงตั้งใจฉกเงินจำนวนนี้จากเทรดเดอร์รายย่อย การสัมผัสแนวรับที่บ่อยขึ้นหมายถึงมีเงินมากขึ้นอยู่ใต้มัน ดังนั้นควรระมัดระวัง
ไปดูที่กราฟกัน ระดับ $1680 ดูเหมือนจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งของ XAUUSD สินทรัพย์ดีดตัวขึ้นจากมันสองครั้ง: ช่วงต้นและปลายเดือนมีนาคม
ระดับจิตวิทยา
ระดับจิตวิทยาจะปรากฏขึ้นเมื่อราคาลงท้ายด้วย 0 (ระดับยิ่งมีจำนวนเลขศูนย์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น) ตัวอย่างเช่น 1.50, 90.00 เป็นต้น ระดับจิตวิทยาปรากฏขึ้นเนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น หากคุณถามใครซักคนถึงความคาดหวังของเขา/เธอเกี่ยวกับราคาในอนาคตของคู่เงิน GBPUSD ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนๆนั้นจะพูดว่า 1.3028-1.4123 พวกเขาจะคาดการณ์ไปที่ 1.30-1.40 ซะมากกว่า ตามตรรกะนี้ เมื่อเทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อ พวกเขาจะเลือกตัวเลข"กลมๆ" ซึ่งเป็นผลให้คู่เงินถูกซื้อขายภายในตัวเลขเหล่านี้
เดี๋ยวเราไปดูกราฟกัน XBRUSD ไม่สามารถทำลายระดับ $130.00 ได้ และถึงแม้มันจะผ่านระดับนี้ไปได้ แต่มันก็ไม่สามารถยืนอยู่เหนือระดับนั้นได้
เส้นเทรนด์ไลน์
คุณควรจำไว้เสมอว่าแนวโน้มคือเพื่อนของคุณ และมันจะช่วยคุณได้ในสถานการณ์การซื้อขายต่างๆ การระบุแนวโน้มไม่ใช่เรื่องยาก ไปดูที่กราฟกัน หากคุณเห็นว่าราคายังคงเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงในทิศทางเดียวเป็นเวลานาน แสดงว่ามันกำลังเป็นแนวโน้ม ราคาสูงสุดที่ยกตัวขึ้นและราคาต่ำสุดที่ยกตัวขึ้นหมายถึงแนวโน้มเป็นขาขึ้น ในทำนองกลับกัน ราคาสูงสุดที่กดตัวลงและราคาต่ำสุดที่กดตัวลงจะหมายถึงแนวโน้มเป็นขาลง
เมื่อมองหาแนวโน้ม คุณควรจำไว้ว่าเส้นต้องไม่เป็นแนวนอนและควรเชื่อมต่ออย่างน้อย 2 จุด (2 จุดสูงสุด หรือ 2 จุดต่ำสุด) นอกจากนี้ จุดที่สองที่คุณลากเส้นแนวโน้มผ่านไปควรอยู่ห่างจากจุดแรก 20-30 แท่ง
ยิ่งราคาสัมผัสเส้นแนวโน้มมากเท่าไหร่, แนวโน้มก็ยิ่งจะแข็งแกร่งมากเท่านั้น
มาดูกราฟของ EURUSD กัน คุณจะเห็นแนวโน้มขาลง สิ่งที่คุณต้องทำคือลากเส้นเทรนด์ไลน์ผ่านจุดสูงสุดแต่ละจุด ส่งผลให้เส้นจะเป็นแนวต้านของคู่เงินนี้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถลากเส้นผ่านจุดต่ำสุดได้อีกด้วย แล้วคุณจะได้ระดับแนวรับ
เทคนิคเดียวกันนี้ใช้ได้กับขาขึ้น
ตัวบ่งชี้ Pivot point
เมื่อคุณใช้อินดิเคเตอร์ คุณจะเห็นระดับแนวต้าน 3 ระดับ, แนวรับ 3 ระดับ, และจุดหมุนที่เป็นกรอบที่กำหนดการเคลื่อนไหวต่อไปของราคา ถ้าราคาอยู่เหนือจุดหมุน การเคลื่อนไหวควรจะเป็นขาขึ้น มิฉะนั้น คาดว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวขาลง
ระดับแนวต้านและแนวรับจะแสดงเป้าหมายที่แม่นยำของสินทรัพย์ ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่คุณเลือก ข้อดีอย่างหนึ่งของตัวบ่งชี้ pivot point คือระดับของมันจะเปลี่ยนทุกครั้งที่กรอบเวลาที่คุณเลือกสิ้นสุดลง
หมายเหตุ: คุณสามารถเลือกกรอบเวลาใดก็ได้ แต่เราขอแนะนำให้คุณใช้กรอบเวลารายสัปดาห์ ตัวบ่งชี้จะแสดงเป้าหมายรายสัปดาห์ของคู่เงิน ดังนั้นคุณจะสามารถทำแผนการซื้อขายระยะยาวได้
ไปดูที่กราฟกัน คุณจะเห็นได้ว่าเมื่อสิ้นสุดสัปดาห์ คู่เงินจะทะลุแนวรับที่ 0.9920 แต่ต่อมามันได้กลับตัวไปที่แนวต้านที่ใกล้ที่สุดที่ 1.0050 นอกจากนี้ โปรดสังเกตว่าเส้นแนวรับและแนวต้านทำงานได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่คำนวณด้วยตัวมันเอง
Fibonacci retracements
เครื่องมือ Fibonacci ถูกใช้เพื่อกำหนดแนวต้านและแนวรับ หรือเพื่อคาดการณ์ขอบเขตที่เป็นไปได้ของการเคลื่อนไหวของราคา เป้าหมายหลักของมันคือการหาจุดปรับฐานที่เป็นไปได้กับแนวโน้มหลัก ระดับสำคัญของ Fibonacci retracement คือ 38.2%, 50% และ 61.8% ซึ่งบ่งบอกถึงแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่งที่สุด ขึ้นอยู่กับทิศทางของราคา
ไปดูกราฟของ EUR/USD กัน คุณจะเห็นได้ว่าคู่เงินเด้งจากระดับ 50.0 Fibo และเคลื่อนไปที่ 23.6 ซึ่งกลายเป็นแนวต้านของ EUR/USD
ข้อเท็จจริงอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวรับและแนวต้าน:
- หากราคาทดสอบแนวรับหรือแนวต้านหลายครั้งโดยไม่ทำลายระดับนี้ ระดับนี้จะอ่อนแอลงทุกครั้งที่โดนทดสอบ
- แม้ว่าเรามักจะเรียกมันว่าเส้นแนวรับและแนวต้าน แตจริงๆแล้วควรเรียกว่าพื้นที่แนวรับและแนวต้านมากกว่า เพราะราคาสามารถทะลุผ่านเส้นได้ แต่จะเด้งกลับมาสองสามปิปในภายหลัง
- บางครั้งเมื่อราคาทะลุระดับต่างๆ แนวรับเก่าอาจกลายเป็นแนวต้านใหม่และในทำนองกลับกัน แต่คุณไม่สามารถพึ่งพากฎนี้ได้ตลอดเวลา ดังนั้นการใช้วิธีการอื่นในการคาดการณ์ว่าราคาจะไปที่ใดต่อไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ
สรุป
ระดับแนวรับและแนวต้านเป็นพื้นที่ที่สำคัญมากในกราฟราคา แนวรับและแนวต้านสามารถบอกคุณได้เมื่อถึงเวลาที่ดีที่สุดในการเปิดหรือปิดคำสั่งซื้อ และตำแหน่งควรที่จะวางคำสั่ง stop และ limit เพื่อลดความเสี่ยง ระดับเหล่านี้ถูกใช้ในตัวบ่งชี้และกลยุทธ์การซื้อขายจำนวนมาก และการรู้วิธีใช้ระดับเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อเทรดเดอร์ทุกคน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
สกุลเงินดิจิทัล เช่น bitcoin มีระดับแนวต้านหรือไม่?
มีสิ ระดับแนวต้านจะระบุพื้นที่ของอุปทานของแต่ละสกุลเงินดิจิทัล เมื่ออุปทานมีมากกว่าอุปสงค์ ผู้ขายจะครองตลาดและราคาของสกุลเงินดิจิทัลจะลดลง
ฉันควรรอที่จะขายหุ้นจนกว่าจะถึงระดับแนวต้านหรือไม่?
ระดับแนวรับและแนวต้านช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดปิดคำสั่งซื้อที่เป็นไปได้ การขายหุ้นเมื่อราคาถึงระดับแนวต้านเป็นขั้นตอนที่ปลอดภัยและสมเหตุสมผล เนื่องจากราคามีแนวโน้มที่จะเด้งออกจากระดับและเริ่มร่วงลง
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแนวรับและแนวต้านถูกทำลาย?
ในการดูว่าแนวรับและแนวต้านถูกทำลายหรือไม่ คุณต้องรอการยืนยันการเคลื่อนไหวของราคา หากราคาไม่เด้งออกจากระดับแนวรับหรือแนวต้าน มันจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดียวกัน (ขึ้นผ่านระดับแนวต้าน หรือลงผ่านระดับแนวรับ) ซึ่งหมายความว่าระดับเหล่านี้ถูกทำลาย
นักลงทุนใช้แนวต้านและแนวรับในการตัดสินใจซื้อขายอย่างไร?
ระดับแนวรับและแนวต้านจะช่วยให้นักเทรดตัดสินใจได้ว่าเมื่อไหร่ควรซื้อหรือขายสินทรัพย์ โดยทั่วไป เทรดเดอร์จะพยายามซื้อใกล้ระดับแนวรับในแนวโน้มขาขึ้น และขายใกล้ระดับแนวต้านในแนวโน้มขาลง
ควรใช้กรอบเวลาใดในการลากเส้นแนวต้าน?
คุณสามารถใช้กรอบเวลาใดก็ได้เพื่อลากเส้นแนวต้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการซื้อขายที่คุณเลือกใช้ เทรดเดอร์รายวันจะใช้ M30 เป็นหลัก เทรดเดอร์สวิงจะใช้กรอบเวลา H4 และรายวัน และเทรดเดอร์ระยะยาวจะใช้กรอบเวลารายสัปดาห์และรายเดือน อย่างไรก็ตาม กรอบเวลาที่ยาวขึ้นมักจะบ่งบอกถึงระดับแนวต้านที่แข็งแกร่งขึ้น