การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา
ช่วง 100 ปีที่ผ่านมาได้เห็นความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากมายในโลกของการลงทุน จากการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต ไปจนถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การลงทุนใหม่ ๆ นักลงทุนมีโอกาสมากมายที่จะรับประโยชน์จากสิ่งที่ตลาดเสนอให้เพื่อตัวเอง ผู้เชี่ยวชาญของ FBS ต้องการแสดงให้คุณเห็นถึงแนวโน้มที่น่าทึ่งที่สุดและขยายความเข้าใจเรื่องตลาดของคุณด้วยบทความนี้ คุณจะพบข้อมูลอ้างอิงจำนวนมากและรูปแบบที่คล้ายคลึงกันเมื่อตลาดคลี่คลาย
ช่วงทศวรรษที่ 1960 และดัชนี Nifty Fifty
ดัชนี Nifty Fifty เป็นกลุ่มของ 50 หุ้นบลูชิป ที่มีการเติบโตสูงที่เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนในช่วงทศวรรษที่ 1960 หุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้จะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่ใหม่และเป็นนวัตกรรม เช่น เทคโนโลยีและการดูแลสุขภาพ ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว IBM, Xerox และ McDonald's ล้วนเป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมที่มีความหลากหลายที่ให้ความรู้สึกมหัศจรรย์ในช่วงทศวรรษที่ 1960
พวกมันได้กลายเป็นที่รู้จักในนามหุ้น "ซื้อแล้วถือยาว" เนื่องจากนักลงทุนต่างได้รับการบอกกล่าวจากบุคคลต่าง ๆ เช่น ศาสตราจารย์ Jeremy Siegel แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ว่าพวกเขาสามารถซื้อแล้วถือไว้ตลอดไปได้เลย อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ที่ชาญฉลาดมักจะรู้ว่าทุกสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะปรับฐานหลังการพุ่งขึ้น
ผลลัพธ์ของการเติบโตอย่างมหาศาลใน "หุ้นบลูชิปในยุค 60" นั้นสูงกว่าอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นตามปกติ อัตราส่วนนี้จะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าตลาดปัจจุบันของบริษัทและผลประกอบการของบริษัท หากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นสูงเกินไป เช่นเดียวกับของ Tesla เมื่อต้นปี 2021 (1102) นั่นแสดงว่านักลงทุนได้ประเมินราคาหุ้นบริษัทสูงเกินจริง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นที่เป็นกลางในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมักจะอยู่ที่ 25-30
อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้นของ Tesla
ช่วงทศวรรษที่ 1970 สินค้าโภคภัณฑ์ และภาวะเงินฝืด
แนวโน้มขาขึ้นในดัชนี Nifty Fifty ได้สิ้นสุดลงในตอนต้นของช่วงทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุด มีความขัดแย้งเรื่องน้ำมัน และการปรับดอกเบี้ยขึ้นเป็นสองเท่าของธนาคารกลางสหรัฐฯ
แหล่งที่มา: YCharts
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่ตลาดเกิดใหม่จะก้าวเข้าสู่เกม หลายประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น อินเดีย ได้ประสบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ 1970 ซึ่งทำให้นักลงทุนพากันตบเท้าเข้าสู่ตลาดที่มีการเติบโตเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น อินเดียได้แสดงอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยที่ 6-7% ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ทำให้ประเทศนี้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผลประกอบการดีที่สุด
แหล่งที่มา: tradingeconomics
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 ข้อตกลงเบรตตันส์วูดส์ (Bretton Woods) ได้กำหนดให้ผูกค่าเงิน USD เข้ากับทองคำ และได้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม ระบบได้เริ่มพังทลายลงในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 เนื่องจากความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และการที่สหรัฐฯ ไม่สามารถรักษาอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ระหว่างดอลลาร์และทองคำได้ ในปี 1971 สหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกมาตรฐานทองคำ และระบบเบรตตันส์วูดส์ก็ได้ถูกล้มไปโดยปริยาย การสิ้นสุดลงของข้อตกลงเป็นสาเหตุที่ ราคาน้ำมัน พุ่งสูงขึ้น ซึ่งทำให้มันเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษ
แหล่งที่มา: Bloomberg ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2021
หนึ่งในแนวคิดการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ผ่านมาคือวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Apple, Microsoft และ Amazon ได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดและทำกำไรได้มากที่สุดในโลก การลงทุนในบริษัทเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในช่วงที่กำลังเติบโต อาจส่งผลให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สูงมาก
ช่วงทศวรรษที่ 1980 ความรุ่งเรืองและการล่มสลายของญี่ปุ่น
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ประสบกับความรุ่งเรืองและการล่มสลายในช่วงทศวรรษที่ 1980 ด้วยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "เศรษฐกิจฟองสบู่" ที่ถูกขับเคลื่อนโดยการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเก็งกำไร ในช่วงเวลานี้ ราคาหุ้นได้พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฟองสบู่นี้ก็แตก ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วและเศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอย สภาวะตลาดหุ้นล้มในปี 1990 ได้ทำลายความมั่งคั่งหลายพันล้านดอลลาร์และทำให้หลายบริษัทล้มละลาย แม้จะมีความพยายามที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตลาดหุ้นก็ไม่ฟื้นตัว และดัชนี Nikkei 225 (JP225) ก็ยังต่ำกว่าในช่วงทศวรรษที่ 1980
แหล่งที่มา: FRED
ช่วงทศวรรษที่ 1990 ช่วงเวลาก่อนเกิดฟองสบู่ดอทคอม
แล้วจู่ ๆ อินเทอร์เน็ตก็โผล่ขึ้นมา สร้างโฆษณาที่เกินจริงและยกย่องบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ผู้คนเคยเรียกกันในชื่อบริษัทดอทคอม นักลงทุนได้เริ่มตีราคาหุ้นของทุกบริษัทที่ทำงานกับอินเทอร์เน็ตมากเกินไป และโลกได้เริ่มคิดว่าบริษัทอินเทอร์เน็ตจะยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อและจะไม่หยุดนิ่ง ฟองสบู่ได้เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ในช่วงเวลานี้ ตลาดได้รับแรงหนุนจากปัจจัยอื่น ๆ หลายประการ รวมถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฟองสบู่นี้ก็แตก ซึ่งนำไปสู่การลดลงอย่างมากของราคาหุ้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ บางบริษัท เช่น AT&T ก็ไม่เคยฟื้นตัวอย่างเต็มที่ บริษัทอื่น ๆ เช่น Amazon ต้องใช้เวลาเกือบสิบปีในการที่จะไปให้ถึงระดับสูงสุดตลอดกาลก่อนหน้านี้ โดยเฉลี่ยแล้ว ดัชนี US100 (NASDAQ) ได้สูญเสียมูลค่าตลาดไป 83% อย่างไรก็ตาม ดัชนีได้เติบโตเกือบ 3000% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แหล่งที่มา: tradingview
ตลาดเกิดใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 2000
อย่างที่คุณเห็น ราคาตลาดของหุ้นที่สูงกว่าราคาที่ประเมินได้นั้นเป็นปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้นในตลาดเกือบทุกทศวรรษ ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงสูงและการขาดทุนจำนวนมหาศาล ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย ซึ่งในปี 2000 เราได้เห็นราคาตลาดของหุ้นที่สูงกว่าราคาที่ประเมินได้อีกรอบ ในครั้งนี้ ตลาดเกิดใหม่ก็ได้ตกอยู่ในความสนใจของสาธารณชน
เงินลงทุนจำนวนมหาศาลจากต่างประเทศได้ไหลไปยังประเทศเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนสูงกว่า ตัวอย่างเช่น รัสเซียได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และมาตรวัดหุ้นหลักได้เติบโตขึ้น 880% ในช่วงทศวรรษนี้ แม้ว่าตลาดจะล้มไปในปี 2008
ตลาดอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูง ได้แก่ บราซิลที่มีการเติบโตมากกว่า 300% อินเดีย และจีน ในขณะเดียวกัน ดัชนี US500 ได้ปิดรอบทศวรรษไปด้วยการขาดทุนหลายเปอร์เซ็นต์
แหล่งที่มา: Seeking Alpha
หุ้นกลุ่ม FAANG ในช่วงทศวรรษที่ 2010
หนึ่งในช่วงทศวรรษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้เริ่มต้นในปี 2010 FAANG ย่อมาจาก Meta (ชื่อเดิมคือ Facebook), Apple, Amazon, Netflix, และ Alphabet (ตัว "G" หมายถึง Google) แม้ว่าชื่อที่เป็นตัวอักษรย่อนี้จะถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกการเงิน แต่โดยทั่วไปแล้วมันจะถูกใช้ในภาษาพูดเพื่ออธิบายถึงผู้เล่นหลักในโลกเทคโนโลยีของอเมริกา
หุ้นกลุ่ม FAANG ได้ครองตลาดโดยมี Netflix เป็นผู้นำ ซึ่งเติบโตมากกว่า 4,100% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน Apple ก็ได้กลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าตลาดถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2018 แล้วต่อมา Apple ได้กลายเป็นบริษัทแรกที่มีรายได้มากถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทเหล่ามีผลประกอบการที่ดีมาก ๆ จนตอนนี้เทรดเดอร์รายย่อยต่างก็คิดว่าการเติบโตของ FAANG จะยังคงรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ 2020 อย่างไรก็ตาม ตลาดก็มีความเห็นที่แตกต่างอยู่ด้วย
บทสรุปและช่วงทศวรรษที่ 2020
ทศวรรษนี้ยังมีอะไรอีกหลายสิ่งที่จะแสดงออกมา แนวคิดต่าง ๆ ในการลงทุนกำลังเกิดขึ้นผ่านวิกฤตการเงิน ภาวะเงินฝืด ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความขัดแย้งต่าง ๆ ช่วงเวลาของ FAANG ได้ผ่านไปแล้ว บริษัทและอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ อื่น ๆ จะรุ่งเรืองและเฟื่องฟู
ในบรรดาแนวคิดการลงทุนที่ดีที่สุดของทศวรรษ เราจะคิดถึงพลังงานสีเขียว เหมืองยูเรเนียม เทคโนโลยี บล็อกเชน และตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย
โดยรวมแล้ว ศตวรรษที่ผ่านมาได้เห็นแนวคิดการลงทุนที่ยอดเยี่ยมมากมายที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มพูนความมั่งคั่งและบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ เราอาจเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ได้มากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมควบคุมความเสี่ยงของคุณ เพราะดูเหมือนว่ามันจะเป็นทักษะที่ดีที่สุดตลอดกาล