The Magnificent Seven เจ็ดสิงห์แดนเสือ อะไรที่ดึงดัชนีสหรัฐฯ ขึ้น?

อ่านบทความบนเว็บไซต์ของ FBS

ดัชนี S&P500 ได้ปรับตัวขึ้นในช่วงสี่เดือนสุดท้ายของปีปัจจุบัน ในไตรมาสที่ผ่านมา ดัชนีได้ปรับตัวขึ้น 3.85% เหล่ากระทิงเกือบทำลายระดับสำคัญที่ 4300 จุดได้ แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่ามันจะยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

Market breadth

Market breadth คือ จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นที่ลดลง การเติบโตของดัชนีนั้นยังไม่เพียงพอ ใช่ไหม? จำไว้ว่าอย่างน้อย ๆ ในประวัติของตลาดหลักทรัพย์ฟินแลนด์ หุ้นของ Nokia ก็เคยเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของดัชนี (มากกว่า 70%) ดังนั้น การปรับตัวขึ้น/ปรับตัวลงของตลาดหลักทรัพย์เฮลซิงกิก็เพียงพอแล้วที่มูลค่าตลาดของ Nokia จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

คุณสามารถวัด Market breadth ได้โดยใช้ตัวบ่งชี้ Arms - TRIN

Chart.png

ปรากฎว่าการมองโลกในแง่ดีจากภายนอกที่มีต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ซ่อนความจริงอันโหดร้ายไว้ - ตัวบ่งชี้ Arms TRIN กำลังลดลง แต่มันก็ยังไปไม่ถึงโซนขายมากเกินไป (ต่ำกว่า 0.5) หรอกนะ แต่ถ้าถึงโซนนี้แล้ว ตลาดหุ้นจะถูกมองว่ามีการซื้อมากเกินไปอย่างมาก

จากหุ้น 503 ตัวที่รวมอยู่ในดัชนี มีเพียง 236 ตัวที่ได้ปรับตัวขึ้นไปในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนหุ้นที่เหลือทั้งหมดก็ได้ปรับตัวลง

ขณะเดียวกัน หุ้นส่วนใหญ่ที่ได้ปรับตัวขึ้นไปแล้วนั้นจะมีน้ำหนักมากที่สุดในดัชนี ส่งผลให้หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมาก

หุ้นของ Nvidia (ปรับตัวขึ้นเกือบ 55% ในไตรมาสนี้), Meta (+42.5%), Google (+29.97%), Amazon (+29.08%), Microsoft (+27.47%), Tesla (+23.39%) และ Apple ( +16.32%) ปรับตัวขึ้นสูงที่สุดในไตรมาสที่ผ่านมา

บริษัทเหล่านี้ได้รับการขนานนามว่า เจ็ดสิงห์แดนเสือ หรือ Magnificent Seven

เหตุผลของการเติบโตของเจ็ดสิงห์

กระแสของ AI เป็นเหตุผลแรกและอาจเป็นสาเหตุหลักของการทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วนี้

กระแสของ AI ในปัจจุบันจะเกี่ยวข้องกับสามบริษัท ได้แก่ Nvidia, Microsoft และ Google

ในเดือนมิถุนายน 2023 การค้นหาคำว่า Chat GPT จัดอยู่ในอันดับที่ 78 ในการค้นหาทั่วโลกของ Google

กระแสของ AI มีส่วนสำคัญอย่างไรต่อการเติบโตของตลาดหุ้น? มันประเมินได้ยากทีเดียว แต่เราคิดว่ากระแสของ AI เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นประมาณหนึ่งในสี่ของการเติบโตทั้งหมด

รายงานเป็นเหตุผลที่สองของการเติบโตที่แข็งแกร่งของมูลค่าตลาดของ เจ็ดสิงห์

แม้ว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ผลประกอบการของเกือบทุกบริษัทได้ลดลง แต่รายงานของ เจ็ดสิงห์ นั้นได้ออกมาเกินความคาดหมายและได้กระตุ้นการเติบโตเพิ่มเติม

Growth (QoQ) (1).jpg

เหตุผลที่สาม คือบริษัทต่าง ๆ ได้ประกาศปรับลดค่าใช้จ่าย ซึ่งน่าจะส่งผลในเชิงบวกต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (OPEX) ที่ลดลงและการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัท

สี่ในเจ็ดบริษัทกำลังวางแผนปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมาก โดย Meta กำลังปรับลดพนักงาน 100,000 คน, Google 12,000 คน, Amazon 18,000 คน และ Microsoft 10,000 คน

หุ้นที่ "ถูกซื้อมากเกินไป" นั้นแย่แค่ไหน?

ลักษณะที่หลักทรัพย์ถูกซื้อมากเกินไปนั้นสามารถประเมินได้โดยใช้อัตราส่วน P/E สุดคลาสสิก อย่างไรก็ตาม ในที่นี้ควรคำนึงว่าหุ้นที่เติบโตนั้นควรมีอัตราส่วน P/E สูง ซึ่งรวมถึงหุ้นเจ็ดตัวนั้นด้วย

E (1).jpg

อย่างที่คุณเห็น Nvidia และ Amazon มีอัตราส่วน P/E ที่บ้ามาก ๆ ระยะเวลาคืนทุนของการลงทุนในธุรกิจของยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะอยู่ที่ 200 ถึง 300 ปี ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันมีฟองอากาศ

Tesla มีอัตราส่วน P/E สูง ซึ่งสูงกว่าค่ากลางของอุตสาหกรรมถึง 4 เท่า

บริษัทอื่น ๆ (Apple, Microsoft, Google และ Meta) มีอัตราส่วน P/E สูงกว่าอุตสาหกรรม แต่ก็ยังดูปกติดี

จะทำอย่างไรกับ เจ็ดสิงห์แดนเสือ ดีนะ?

แนวทางที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้คือการขายชอร์ตหุ้นเจ็ดตัวนี้ บางทีก็อาจจะยกเว้น Tesla ไว้สักตัวนะ

จากมุมมองทางเทคนิคล้วน ๆ หุ้นของ Tesla ยังคงมีโอกาสกลับตัวแม้จะมีอัตราส่วน P/E สูงก็ตาม

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าสถานะ Short นั้นมีความเสี่ยงสูงเสมอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมากเมื่อเปิดสถานะดังกล่าวและใช้ Stop Loss เมื่อเปิดคำสั่งซื้อขาย

สรุป

การปรับตัวขึ้นของดัชนีสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไม่มีเหตุผลและบางส่วนก็ขึ้นอยู่กับกระแสของ AI และความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม

แย่หน่อยที่ทั้งกระแสของ AI และความเชื่อมั่นในมาตรการผ่อนคลายทางการเงินก็คงจะส่งผลดีต่อตลาดได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

เทรดตอนนี้

FBS Analyst Team

แบ่งปันกับเพื่อน:

คล้ายกัน

ข่าวล่าสุด

เปิดทันที

FBS เก็บรักษาข้อมูลของคุณไว้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ เมื่อกดปุ่ม "ยอมรับ" ถือว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา