น้ำมัน Brent และน้ำมัน WTI แตกต่างกันอย่างไร
เมื่อคุณอ่านหรือฟังข่าวเกี่ยวกับตลาดน้ำมันคุณจะได้พบกับคำที่ไม่คุ้นเคยอยู่สองคำคือ Brent และ WTI (West Texas Intermediate) บางทีคุณอาจรู้อยู่แล้วว่าพวกมันเป็น benchmark ของน้ำมันหลักสองประเภท แต่คุณรู้หรือไม่ว่าพวกมันแตกต่างกันอย่างไรและทำไมพวกมันจึงมีราคาที่แตกต่างกัน?
เราได้รวบรวมข้อมูลที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับ Brent และ WTI ที่คุณจำเป็นต้องรู้เพื่อสร้างกำไรจากพวกมัน
มาเริ่มต้นจากพื้นฐานกันเลย ในโลกนี้มีน้ำมันอยู่หลายประเภทและหลายเกรด อย่างไรก็ตามมีเพียงน้ำมันแค่สามแบบเท่านั้นที่กลายเป็น oil benchmarks ได้ ซึ่งก็คือ Brent, WTI และ Dubai Crude เราจะมาพูดถึง Brent และ WTI กัน พวกมันถูกใช้บ่อยที่สุดเนื่องจากพวกมันเหมาะสำหรับการกลั่นออกมาเป็นน้ำมันเบนซิน
ทำไมถึงมีการสร้าง benchmarks เหล่านี้ขึ้นมา?
มันเกิดขึ้นเมื่อปลายทศวรรษ 1980 เมื่อ OPEC (องค์กรผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก) ปฏิเสธที่จะควบคุมราคาทำให้ราคาขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้ค้า ในการกำหนดราคาที่เหมาะสมผู้ส่งออกจำเป็นต้องใช้จุด orienting point Brent และ WTI ถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ดังนั้นในปัจจุบันผู้ผลิตน้ำมันแต่ละรายจึงกำหนดราคาสำหรับน้ำมันที่ตนผลิตโดยขึ้นอยู่กับว่ามันสอดคล้องกับ benchmark เท่าไร
หากคุณคิดว่า Brent หรือ WTI เป็นเพียงแค่หนึ่งในเกรดน้ำมันคุณคิดผิด! พวกมันเป็นชื่อสามัญสำหรับเกรดต่างๆที่มีลักษณะเหมือนๆกัน
ลองมาดูที่ลักษณะเหล่านี้กันดีกว่า
- ลักษณะแรกคือที่ตั้งBrent เป็นมาตรฐานสำหรับตลาดในยุโรปและเอเชีย benchmark นี้ประกอบไปด้วยเกรดน้ำมันมากกว่า 15 เกรดที่ผลิตในพื้นที่ Brent, Ekofisk, Oseberg และ Forties ของนอร์เวย์และสก็อตแลนด์
WTI เป็นเครื่องหมายสำหรับซีกโลกตะวันตก WTI มีที่มาจากแหล่งผลิตน้ำมันของสหรัฐฯโดยส่วนใหญ่มาจากเท็กซัส, รัฐลุยเซียนาและรัฐนอร์ทดาโคตา
- ลักษณะที่สองคือสูตรเคมีประการแรกต้องบอกก่อนว่าไม่มีน้ำมันเกรดใดที่มีความคล้ายกันทุกประการ แม้แต่เกรดที่อยู่ใน Brent หรือ WTI เองก็มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน
Brent เป็นน้ำมันที่มีกำมะถันต่ำชนิดเบา WTI เป็นเกรดน้ำมันที่มีความหนาแน่นสูงกว่า คุณภาพของ WTI จะสูงกว่าคุณภาพของ Brent
ทำไม Brent และ WTI จึงมีราคาที่แตกต่างกัน?
ตั้งแต่ช่วงกลางยุค 80 WTI และ Brent มีการซื้อขายกันในราคาที่เกือบเท่ากัน มีบางครั้งที่ WTI มีราคาแพงกว่า Brent อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน WTI มีราคาที่ต่ำกว่า Brent โดยราคาจะต่างกันอยู่ที่ 10 ถึง 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
โดยส่วนใหญ่ราคาจะขึ้นอยู่กับต้นทุนในการผลิตและการจัดส่ง
Brent ผลิตใกล้ทะเลดังนั้นค่าขนส่งจึงต่ำลงอย่างมาก ตรงกันข้ามกับ WTI ซึ่งผลิตในพื้นที่ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลส่งผลให้มีปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้การผลิตในอเมริกาเหนือเพิ่มเข้าสู่ตลาดยากขึ้นและส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งแพงมากยิ่งขึ้น
ดังที่เรากล่าวไว้ Brent จะมีคุณภาพต่ำกว่า WTI อย่างไรก็ตามมันก็ได้กลายเป็น oil benchmark และมีราคาสูงขึ้นเนื่องจากการส่งออกที่เชื่อถือได้
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาคือปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางส่งผลต่อน้ำมันมากที่สุดโดยเฉพาะกับ Brent ความตึงเครียดนำไปสู่การลดลงของอุปทาน คุณควรจำไว้ว่าเมื่ออุปทานของสินทรัพย์ใดๆลดลงราคาก็จะเพิ่มขึ้น West Texas Intermediate ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในประเทศสหรัฐอเมริกา
ราคาของ WTI มาจากสินค้าคงคลังน้ำมันดิบ ทันทีที่ปริมาณเพิ่มขึ้น WTI จะลดลง หากปริมาณสินค้าลดลง WTI จะเพิ่มขึ้น ตรงนี้คุณควรจดจำเรื่องประเด็นเกี่ยวกับอุปทานเอาไว้ เมื่ออุปทานเพิ่มขึ้นราคาก็จะลดลง
ดังที่คุณเห็น benchmarks ที่สำคัญๆจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ อย่างไรก็ตามแนวโน้มของพวกมันส่วนใหญ่จะคล้ายกัน หาก Brent มีมูลค่าเพิ่มขึ้น WTI ก็น่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
สรุปได้ว่า Brent และ WTI จะยังคงเป็น oil benchmarks ที่เชื่อถือได้ หากคุณต้องการซื้อขายในตลาดน้ำมันให้เลือกหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตามการเลือกหนึ่งใน benchmarks โปรดจำไว้ว่าปัจจัยต่างๆจะมีผลต่อราคาของพวกมัน ดังนั้นคุณจะสามารถคาดการณ์ราคาในอนาคตได้ถูกต้องมากขึ้นและการซื้อขายของคุณก็จะทำกำไรได้