สมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพ
เมทริกซ์
คุณไม่สามารถเอาชนะระบบได้ตราบใดที่คุณเคลื่อนไหวภายในระบบนี้ นั่นถือเป็นจริงกับตลาดด้วย: คุณไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ตราบใดที่คุณอยู่ในสภาวะที่ตลาดกำหนด แล้วเงื่อนไขหลักที่ตลาดวางไว้กับเราคืออะไรกันแน่? พูดสั้นๆเลยก็ราคาไง ไม่มีอะไรอื่นที่สำคัญไปกว่านี้ เมื่อคุณเปิด FBS Trader ของคุณและดูราคาของสกุลเงินหรือหุ้นใดๆ แล้วคุณคิดว่า“อันที่จริงฉันพบว่าราคานี้ไม่โอเคเลยดังนั้นนี่คือข้อเสนอของฉัน” หรือเปล่า? ไม่ คุณอาจรับได้และทำการซื้อขายเลย หรืออาจรอก่อนจนกว่าตลาดจะตรงตามข้อเสนอของคุณ ทำไม? เพราะเราตั้งคำถามกับตลาดไม่ได้ ทำไม? เพราะตลาดรู้ทุกอย่าง, เพราะมันมีขนาดใหญ่มาก, เพราะนักลงทุน, ธนาคาร, บริษัทต่างๆ - ทุกคนที่ทำตลาดพวกเขาฉลาดมากในการตัดสินใจ และรู้เสมอว่าอะไรจะกระทบกับอะไร
ก็ยุติธรรมดี ดังนั้นหากหุ้น Tesla เมื่อวานนี้อยู่ที่ราคา $900 นั่นมันถูกต้องแล้วใช่มั้ย? ถูกต้องสิถ้าตอนนี้ราคาอยู่ที่ $800 นั่นก็ถูกต้องแล้วใช่มั้ย? ถูกต้องเลย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับโรงงานประกอบรถยนต์, ทรัพย์สิน, ความสามารถในการผลิต และส่วนที่เหลือในช่วง 24 ชั่วโมงที่พวกเขาทำราคาหุ้นร่วงลง $100 หรือใช้ตัวอย่างที่มีความหมายมากกว่านี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับกำลังการผลิต และโอกาสในการผลิตของ Tesla หากราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019? รถของ Elon Musk จะไปจอดบนดาวอังคารแล้วทำการติดต่อกับเอเลี่ยนหรือเป่ลา? ไม่ มันเป็นนักลงทุนที่รู้ทุกสิ่ง
แต่อย่าชี้ไปที่คนอื่น ให้ทำการพิจารณาก่อน
ไม่มีความรู้ใดที่ไม่มีพลัง
สมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพคืออะไร? โดยทั่วไปแล้วแนวโน้มทางเศรษฐกิจการเงินที่ผ่านๆมาล้วนมีต้นกำเนิดและได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ยุค 70 ในสหรัฐอเมริกา ทำไมคุณควรใส่ใจ? เพราะคุณรับสิ่งที่สอนๆกันมาราวกับเป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง: การกระจายความเสี่ยงจะช่วยคุณให้พ้นจากความเสี่ยง; การยอมรับความเสี่ยงจะทำให้คุณได้รับรางวัลอย่างงาม
จากมุมมองของนักลงทุนและเทรดเดอร์ในทางปฏิบัติแล้วมุมมองนี้แนะว่าเมื่อคุณเลือกสินทรัพย์มาทำการซื้อขาย ปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวกับรายการที่เลือกมานั้นก็ไม่ได้สำคัญซักเท่าไหร่แล้ว ยิ่งกว่านั้นสินทรัพย์นี้ก็เป็นแค่หนึ่งในหลายๆรายการ กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่จำเป็นต้องอ่าน, ไม่จำเป็นต้องศึกษา เพียงเลือกตราสารการซื้อขายมาให้มากเท่าที่คุณจะทำได้ แล้วคุณจะอยู่ในฝั่งที่ปลอดภัย อีกทั้งวิธีการนี้ยังนำไปสู่การละเลยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและเปลี่ยนเป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากขึ้น - เนื่องจากรายการทั้งหมดของคุณอาจไม่ค่อยโดดเด่นหรือมีผลกระทบกับพอร์ทการลงทุนของคุณมากนัก ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือจัดการกับความผันผวนของราคาเมื่อดูที่สินทรัพย์ใดๆที่เลือกมา
นอกจากนี้ยังช่วยลดความยุ่งยากและ “ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิตอล” ให้กับตัวเลือกของคุณ: คุณหลีกเลี่ยงความเสี่ยงแล้วทำการซื้อขายสินทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคาน้อยกว่าซึ่งจะได้กำไรน้อยกว่า หรือคุณจะยอมแบกรับความเสี่ยงแล้วไปหาสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ดังนั้นมันคือ 0 หรือ 1
สำหรับคุณในฐานะเทรดเดอร์ ข้อสมมติฐานนี้ได้ให้ข้อเสนอบางอย่างเช่น: ไปอยู่ฝั่งเทคนิคเต็มตัวแล้วลืมปัจจัยพื้นฐานไปซะ เพียงแค่ตัดสินใจว่าคุณต้องการรับรายได้เท่าใด แน่นอนว่าคุณจะต้องคิดว่า “ฉันอยากได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” ดังนั้นคุณจะไปหาคู่สกุลเงินและหุ้นที่เสี่ยงที่สุด และได้รับ ... คุณย่อมรู้ดีกว่าว่าคุณจะได้รับเท่าใด แต่คุณอยากรู้มั้ยว่า Warren Buffet คิดอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้? คุณควรอยากรู้นะ
"ฉันและ Charlie"
ในกรณีที่คุณไม่เคยได้ยินเรื่องของ Warren Buffet นี่เป็นข้อมูลสั้นๆเกี่ยวกับเขา เขาเป็นนักลงทุนเขาอายุเกือบ 90 ปี และเขาเป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดอันดับสี่ของโลก ดังนั้นคุณต้องเลือกว่าอาชีพ, อายุ หรือความสำเร็จของเขาที่จะกระตุ้นให้คุณฟังความคิดเห็นของเขาได้
ใน “บทความ” (1997) ของเขา เขาได้อธิบายถึงวิธีการลงทุนที่เขาฝึกฝนพร้อมกับหุ้นส่วนและซีอีโอของเขาที่ Berkshire Hathaway Charlie Munger: ในบรรดาบทความที่เขาเขียน เขาได้เขียนบทแยกต่างหากของทฤษฎีการตลาดที่มีประสิทธิภาพ แล้วตั้งชื่อมันว่า "Debunking Standard Dogma" ที่สำคัญเขากล่าวว่าทฤษฎีนี้ได้กลายเป็นที่นิยมในวงการวิชาการทางเศรษฐกิจในยุค 70 กล่าวว่า เขายังกล่าวต่อไปอีกว่าส่วนที่น่าทึ่งคือไม่มีใครสนใจที่จะพิสูจน์อย่างจริงจังในภายหลังแม้จะมีข้อเท็จจริงจำนวนมาก, ข้อมูลสถิติ และประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า EMH นั้นไม่จริง (หรืออย่างน้อยก็ไม่จริงเสมอไป)ก็ตาม เขาแย้งว่า ในที่สุดมันก็กลายเป็นความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับตลาดที่ไม่มีใครสงสัยเพียงเพราะมันอยู่ที่นั่นมานานและอยู่ทุกที่ เป็นผลให้มันยังคงเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่สำคัญที่กำหนดวิธีการที่เทรดเดอร์เข้าหาตลาด
ไข่และตะกร้า
สรุปว่า Warren Buffet แนะนำให้วางใจการศึกษาอย่างละเอียด, อ่านปัจจัยพื้นฐาน, เรียนรู้การทำงานภายในของสินทรัพย์ที่คุณเลือก ทำความรู้จักกับทุกสิ่งเท่าที่คุณสามารถทำได้เกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าคุณพอใจกับระดับความรู้ของคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นนั้นคุณจะได้เชื่อจริงๆว่าคุณกำลังลงทุนอย่างมีความหมาย แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าบริษัทใดจะประสบความสำเร็จหรือสกุลเงินใดจะเติบโตในอนาคต อีกครั้ง: ศึกษา, อ่าน, สังเกต และใช้สามัญสำนึกทำให้เกิดคำถามขึ้นมา เช่น “ลูกค้าชอบอะไร”, “อะไรทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่ง?”, “อะไรที่ทำให้สินทรัพย์นี้เป็นที่ต้องการ?” ฯลฯ เขาแนะนำเทรดเดอร์หรือนักลงทุนเลือกในจำนวน จำกัด เลือกเพียงไม่กี่สินทรัพย์ที่เขา/เธอเชื่อว่าจะทำได้ดีในอนาคตและนำเงินเข้ามา ไม่มีการกระจายความเสี่ยง, ไม่มี "ไข่ในตะกร้าที่หลายใบ" ในทางตรงกันข้ามวิธีการของเขาแสดงให้เห็นการศึกษาปัจจัยพื้นฐานและความเข้มข้นของสินทรัพย์แทนการศึกษาทางเทคนิคและการกระจายความเสี่ยง เขามีแนวคิดหลากหลายมาก ไม่เชื่อฉันก็ได้ - แต่ขอให้เชื่อ Warren Buffet
สามัญสำนึก
เมื่อคุณมี 10 หุ้นคุณคิดว่า “ถ้าร่วงไปนิดหนึ่ง ฉันคงจะไม่สูญเสียมากเกินไป; มันเป็นเพียง 1 ใน 10" แต่เมื่อคุณมี 100 หุ้น คุณก็คิดว่า “มันดีแล้วล่ะ ถ้ามันร่วงไปแค่นิดหน่อย มันก็เป็นเพียง 1 ใน 100” นั่นก็เข้าใจได้ แต่ถ้าพวกมันร่วงไปหมดเลยล่ะ หรือพูดได้ว่าอยู่ในภาวะถดถอย? คุณก็จะพูดว่า “ฉันก็จะไปกับตลาด มันลง - ฉันก็ลงเหมือนกัน” ก็ยุติธรรมดี แต่สิ่งที่คุณต้องการคืออะไร: ปลอดภัยหรือเสียใจ คุณจะกระจายการลงทุนทั้งหมดของคุณในตลาดทั้งหมด แล้วในที่สุดก็ลงไปกับตลาดเมื่อช่วงเวลาที่ยากลำบากมางั้นหรือ? หรือคุณต้องการถือสินทรัพย์ที่มีความยืดหยุ่นจำนวนมากที่ที่สามารถทนต่อ "โชคร้าย" ได้ใช่หรือไม่? หากสิ่งหลังดึงดูดคุณมากกว่า คุณต้องเลือกวิธีการใช้สามัญสำนึกที่แตกต่างออกไป แทนที่จะใส่ไข่ลงในตะกร้าหลายใบ คุณต้องมองหาใบที่น่าเชื่อถือสักหนึ่งหรือสองสามใบแล้วเอาไข่ของคุณไปใส่ไว้ในนั้น ซึ่งหมายความว่าแทนที่จะยิงไปทุกทิศทุกทางเพื่อให้รู้สึกปลอดภัยและในที่สุดก็จมลงเรือเมื่อพายุมา คุณจะต้องเป็นคนช่างเลือกและแน่ใจว่าทำไมคุณถึงเลือกรายการนี้หรือสิ่งนั้น และมั่นใจในสิ่งที่คุณได้วิจัยมาแล้ว ในที่สุดรายการนั้นอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่รายการที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้เมื่อตลาดหุ้นร่วงลง และมันเป็นไปได้มากๆ: ตัวอย่างเช่นตลาดหุ้นได้ผ่านอะไรมามากมายในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีบริษัทต่างๆที่รอดชีวิตมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเช่นกันแถมกราฟก็พุ่งขึ้นแทบไม่หยุด ด้วยสิ่งนี้เป้าหมายของคุณคือการหาบริษัทเหล่านั้นให้เจอ คุณจะพูดว่า “แต่นั่นต้องใช้เวลามากและไม่มีอะไรรับประกันได้เลย!” ถูกต้องเพราะนี่คือตลาดไง ไม่มีอะไรที่รับประกันได้หรอก มีแต่ตัวเลือกและทางเลือกจำนวนมาก ทุกตัวเลือกมีความจริงอยู่กับตัวเอง คุณเพียงแค่ต้องเลือกตัวเลือกที่จะให้บริการคุณได้ดีกว่า
คุณชอบดูภาพยนตร์ ไม่ใช่รึ
สมมติฐานการตลาดที่มีประสิทธิภาพแนะนำให้คุณวางเรื่องของปัจจัยพื้นฐานเอาไว้ข้างๆ แล้วผลักดันให้คุณกระจายการลงทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และพิจารณาขนาดของความผันผวนของราคาของสินทรัพย์แต่ละรายการเป็นปัจจัยเดียวที่เกี่ยวข้องซึ่งจะนำไปสู่ผลกำไรของคุณในที่สุด
ในทางตรงกันข้าม Warren Buffet ไม่แนะนำให้คุณทำการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว เขาแนะนำให้คุณเลือกสินทรัพย์ที่คุณเชื่อมั่นว่ามีปัจจัยพื้นฐานดีพร้อม (ซึ่งคุณได้ศึกษามาแล้วอย่างละเอียด) เพื่อให้ยืนหยัดได้ตลอดเวลาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นเหมือนกับความแตกต่างระหว่างพลแม่นปืนและทหารเท้าธรรมดา Tom Berenger ได้อธิบายไว้ใน“ Sniper” (1993): “ความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการต่อสู้คือทำให้ประเทศแตกสลาย…ด้วยการเข้าต่อสู้หลายล้านรอบ เราจะรอหลายวันเพื่อยิงแค่นัดเดียว”อาจเป็นไปได้ว่าคุณมีความคิด: คุณหลับหูหลับตาวางไพ่เดิมพันกับสถิติแพ้ชนะของคุณหรือคุณเรียนรู้บางอย่างเป็นอย่างดีและจากนั้นเดิมพันเงินของคุณกับสิ่งที่คุณได้ศึกษามาเป็นอย่างดี ในที่สุดมันจะกลายเป็นการเชื่อใจตัวเอง