อัตราการว่างงานและการจ้างงานนอกภาคเกษตร: เหตุใดมันจึงมีความสำคัญต่อตลาด
ทุกวันศุกร์แรกของแต่ละเดือน กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะเผยข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการจ้างงานและจำนวนผู้ที่มีงานทำในส่วนนอกภาคการเกษตรของเศรษฐกิจ ทำไมมันจึงมีความสำคัญมาก?
ประการแรก การว่างงานที่สูงนำไปสู่ความตึงเครียดทางสังคม ส่งเสริมการขึ้นสู่อำนาจของนักการเมืองหัวรุนแรง และในที่สุดก็อาจนำไปสู่ความไม่สงบและการยึดอำนาจด้วยความรุนแรง
ประการที่สอง การว่างงานจะส่งผลกระทบต่อการผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจ (การเติบโตของ GDP)
ประการที่สาม การว่างงานจะลดการไหลเวียนของเงินภาษีที่เข้าสู่งบประมาณแผ่นดิน และเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล เช่น การจ่ายเงินชดเชยการว่างงานและการจ่ายเงินประกันสังคม
ในสหรัฐอเมริกา อัตราการว่างงานจะถูกคำนวณจากจำนวนผู้ที่มีงานทำนอกภาคการเกษตร บทความนี้จะกล่าวถึงวิธีการคำนวณนี้และสิ่งที่คุณต้องค้นหาเพื่อวิเคราะห์อัตราการว่างงาน
อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ
อัตราการว่างงานจะถูกคำนวณจากการสำรวจประมาณ 60,000 ครอบครัวโดยกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะมีการสัมภาษณ์ทั้งแรงงานในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร จากนั้นจึงทำการคำนวณโดยใช้สูตรง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
นักเศรษฐศาสตร์ยอมรับว่าอัตราการว่างงานปกติจะอยู่ที่ 4-5% นับตั้งแต่วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ได้สิ้นสุดลง อัตราการว่างงานได้ลดลงอย่างต่อเนื่องและได้แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 (3.4%)
เราควรจำไว้ว่ากระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกาจะนับแค่คนที่กำลังหางานอย่างแข็งขันว่าเป็นผู้ว่างงาน ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตนได้จะไม่ถูกนับรวมในอัตราการว่างงาน
การจ้างงานนอกภาคการเกษตร
การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (NFP) ยังถูกคำนวณผ่านแบบสำรวจอีกด้วย ซึ่งในครั้งนี้ได้มีการสำรวจบริษัท 440,000 แห่ง ที่มีพนักงานรวมกว่า 50 ล้านคน ดังนั้น ตัวบ่งชี้นี้จะวัดจากจำนวนคนงานในบริษัทที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
ตัวเลข NFP ใดที่ถือว่าเป็นค่า "ปกติ"? แนวคิดทั่วไปคือตัวเลขยิ่งสูงก็ยิ่งดี จำนวนแรงงานที่มากขึ้นหมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งมักจะนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ตามหลาย ๆ ค่าประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์ ด้วยการพัฒนาตามปกติของเศรษฐกิจอเมริกัน (3-4% ต่อปี) จำนวนงานที่ถูกสร้างขึ้นควรมีอย่างน้อย 150,000 ตำแหน่งต่อเดือน
หากคุณให้ความสนใจกับตัวเลข NFP คุณจะเห็นได้ว่าช่วงวิกฤตต่าง ๆ ที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผลการจ้างงานอย่างไร (ตัวเลขติดลบ)
มีข้อมูลอะไรอีกที่เผยแพร่พร้อม ๆ กับอัตราการว่างงานและ NFP?
เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความซับซ้อนมากและมีข้อมูลทางสถิติที่หลากหลาย นอกเหนือจากอัตราการว่างงานและการจ้างงานนอกภาคการเกษตรแล้ว อีกหลายตัวบ่งชี้อื่น ๆ ก็ควรได้รับความสนใจ
นอกเหนือจากการคำนวณตัวบ่งชี้ NFP ที่แตกต่างกันของกลุ่มอื่น ๆ (เช่น NFP ของพนักงานภาครัฐ และ NFP ของภาคเอกชน) ตัวบ่งชี้ที่เกี่ยวข้องมากที่สุดคือรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ และสัดส่วนของประชากรที่ทํางานในเชิงเศรษฐกิจ
การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงจะนำไปสู่การเพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะเพิ่มปริมาณการบริโภค ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการเติบโต ดังนั้น ตัวบ่งชี้นี้จึงสามารถส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
ชื่อก็บอกเป็นนัยแล้วว่าชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์คือการวัดจำนวนชั่วโมงโดยเฉลี่ยที่พนักงานทำงานในหนึ่งสัปดาห์ ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นนั้นถือว่าเป็นตัวบ่งชี้การเติบโตของเศรษฐกิจ ในขณะที่จำนวนเฉลี่ยที่ลดลงนั้นมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเลิกจ้าง
สัดส่วนของประชากรที่ทํางานในเชิงเศรษฐกิจจะสะท้อนถึงจำนวนคนที่มีหรือต้องการที่จะมีแหล่งทำมาหากิน ซึ่งคนเหล่านี้ก็คือคนที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 70 ปี ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งคนที่มีงานทำและคนที่ว่างงาน
ด้วยเหตุนี้ การเติบโตของสัดส่วนของประชากรที่ทํางานในเชิงเศรษฐกิจจึงส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ
ฉันควรมองหาอะไรเพื่อระบุความน่าเชื่อถือของการคาดการณ์ NFP และการว่างงาน?
แม้กระทั่งก่อนที่จะมีการเผยตัวเลขอัตราการว่างงานและการจ้างงานนอกภาคการเกษตร บล็อกสถิติการว่างงานจะถูกประกาศในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลต่อตัวเลขคาดการณ์ที่เป็นฉันทามติ บทความนี้จะอธิบายถึงสิ่งที่เราต้องให้ความสนใจเพื่อทำความเข้าใจว่าตัวเลขคาดการณ์ที่เป็นฉันทามตินั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานครั้งแรกและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานครั้งที่สอง (ประกาศทุกวันพฤหัสบดี เก็บข้อมูลทุกสัปดาห์)
ตัวเลขประมาณการ: ยิ่งจำนวนผู้สมัครขอรับสวัสดิการคนว่างงานสูงมากเท่าไร สถานการณ์การจ้างงานก็จะยิ่งแย่ลง ด้วยเหตุนี้ หากจำนวนผู้สมัครรายเดือนเพิ่มสูงขึ้น เราแทบไม่ควรคาดหวังว่าจะได้เห็นอัตราการว่างงานที่เป็นบวกเลย
รายงานดัชนีแนวโน้มการเลิกจ้างงานโดย Challenger, Grey & Christmas
ตัวเลขประมาณการ: ยิ่งมีคนถูกเลิกจ้างมากเท่าไร อัตราการว่างงานก็จะยิ่งสูงขึ้น ความเชื่อมโยงนี้ชัดเจนมาก แต่ก็น่าเสียดายที่มันยากที่จะประเมินว่าจำนวนคนที่จะถูกเลิกจ้างเท่าไรที่ถือว่าปกติ และจำนวนเท่าไรที่ถือว่าสูงกว่าปกติ เราขอแนะนำให้จับตามองค่าของตัวบ่งชี้ที่พุ่งสูงขึ้น หากมีการปลดคนออกจากงานเป็นจำนวนมาก เราสามารถพูดได้ว่าอัตราการว่างงานไม่น่าจะลดลง
ดัชนีงานของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ Conference Board
ตัวเลขประมาณการ: ยิ่งดัชนีประกาศรับสมัครงานสูงเท่าไร อัตราการว่างงานจะยิ่งต่ำลง การติดตามพลวัตของตัวบ่งชี้นี้ก็ดูจะสมเหตุสมผล ความจริงก็คืออัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นจะไม่สะท้อนให้เห็นในอัตราการว่างงานในทันที ขั้นตอนการสัมภาษณ์และการจ้างงานนั้นจะใช้เวลาพอสมควร (หนึ่งหรือสองเดือน)
การจ้างงานนอกภาคการเกษตรโดย ADP
ตัวเลขประมาณการ: นี่เป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ที่มีการโต้เถียงกันมากที่สุดซึ่งทำให้เกิดคำถามมากมาย ก่อนที่จะประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร การประเมินเบื้องต้นจาก Automatic Data Processing Inc. (ADP) จะถูกเผยออกมาในวันก่อนการประกาศ (วันพุธ) รายงานนี้ถูกสร้างขึ้นจากการประเมินบริษัทประมาณ 340,000 แห่ง และพนักงาน 21 ล้านคน น่าเสียดายที่ข้อมูลจากรายงาน ADP และกระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกามักจะไม่ตรงกัน
สรุป
การรู้วิธีคาดการณ์ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะมอบเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพให้กับการวิเคราะห์ตลาดของคุณ
ทดลองซื้อขายตามประกาศการจ้างงานนอกภาคการเกษตรกับ FBS