หากคุณคิดจะทำการซื้อขายเต็มเวลา คุณต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับหลายความท้าทาย เทรดเดอร์จำนวนมากไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันทางจิตใจและเตรียมพร้อมสำหรับความล้มเหลว
ใช้การตัดกันของเส้น Moving Averages เป็นเครื่องมือทางเทคนิค
อัปเดทแล้ว • 2023-01-25
พื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นมีเครื่องมืออยู่จำนวนมากแต่นี่ไม่ได้เกิดจากความหลากหลายของวิธีการทางเทคนิคที่ประกอบพวกมันขึ้นมา หรือกระบวนการตามธรรมชาติที่แตกต่างของพวกมัน แต่กลับเป็นเพราะคุณสมบัติเล็กๆจำนวนหนึ่งที่ถูกเพิ่มเข้าไปด้วยเงื่อนไขทางคณิตศาสตร์เดียวกัน แล้วในที่สุดพวกมันก็ได้สร้างหลากหลายเครื่องมือออกมาที่อาจมีชื่อแตกต่างกัน แต่แกนกลางของมันมีการทำงานเหมือนหรือคล้ายกัน
แผนภูมิด้านล่างนี้ได้แบ่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคออกเป็นสามกลุ่มท่ามกลาง "ตัวชี้วัด" ตัวไหนที่เราต้องการ โดยปกติเทรดเดอร์จะหมกมุ่นอยู่กับตัวชี้วัดไม่ว่าจะเป็นแค่ตัวเดียวหรือหลายตัว นั่นเป็นเพราะเหตุผลทางจิตวิทยา: ให้คำอธิบายที่แทบจะไม่เข้าใจประสิทธิภาพของตลาด ตัวบ่งชี้ที่ล่อให้เทรดเดอร์เชื่อว่ามันอาจทำนายได้ว่าตลาดจะไปในทิศทางไหน แม้ว่ามันจะจริงอยู่บ่อยๆ แต่ปัญหาก็คือเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ตัวบ่งชี้ถูกต้องหรือผิดพลาด สัญญาณเท็จเป็นศัตรูพื้นฐานของตัวบ่งชี้ทุกตัวและไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ
การตัดกันอันศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกัน หนึ่งในเครื่องมือทางเทคนิคที่น่าประทับใจที่สุดคือการตัดกันของเส้น MAs เนื่องจากมันมีความเหมาะสมมากกว่าสำหรับการสังเกตระยะยาว มันจึงไม่ปรากฏให้เห็นบ่อยๆ แต่ถ้ามันเห็นได้บ่อยๆแล้วล่ะก็ มันอาจเป็นลางสังหรณ์ของเหตุการณ์ร้ายแรงที่กำลังจะมาถึง เหตุการณ์ต่างๆในอดีตไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯล่มเมื่อปี1929, 1938, 1974 และ 2003 คงจะถูกคาดการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยนี้ ดังนั้นในมุมมองของตัวบ่งชี้นี้ คนที่ครอบครองตราสารดังกล่าวในช่วงเวลานั้นคงได้เงินเป็นล้าน บางทีอาจมีคนที่ทำจริงๆก็ได้ เราไม่รู้หรอก แล้ว "death cross" คืออะไร? และมันทำงานอย่างไร?
การทำงานภายใน
มีอยู่ด้วยกันสองประเภท: ขาลง "death cross" และขาขึ้น "golden cross" ทั้งสองมีองค์ประกอบเดียวกัน: ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่ระยะสั้นและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว เมื่อ MA ระยะสั้นตัดข้ามเส้น MA ระยะยาวจากบนลงล่าง นั่นเป็นขาลง และเมื่อ MA ระยะสั้นตัดข้าม MA ระยะยาวจากล่างขึ้นบน นั่นเป็นสัญญาณของขาขึ้น
โดยปกติแล้ว MA-50 มักจะถูกใช้เป็นเส้นระยะสั้น ส่วน MA-200 มักจะถูกใช้เป็นเส้นระยะยาว แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู๋กับกลยุทธ์ที่ใช้ บางคนก็ใช้ MA-16 หรือ MA-26 ตัดกับเส้น MA-350
หลักการของวิธีการนี้คือ เมื่อเส้น MA ระยะสั้นเข้าใกล้ราคา มันจะค่อยๆขจัดสัญญาณรบกวนของตลาดออกจากการเคลื่อนไวของราคาที่เห็น ดังนั้นแทนที่จะมองไปที่ตัวราคาที่วิ่งขึ้นๆลงๆ คุณจะมีเส้นโค้งของค่าเฉลี่ยระะสั้นสวยๆมองง่ายๆให้มอง ส่วนค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในระยะยาวนั้นไม่ได้แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของราคา แต่จะแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในระดับที่ราคาพักตลอดทั้งเดือนและปี
ดังนั้น MA ระยะสั้นที่ตั้งคู่กับ MA ระยะยาวคือการเคลื่อนไหวของราคาล่าสุดที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับภาพกลยุทธ์ ข้อสันนิษฐานคือหากการเคลื่อนไหวของราคาล่าสุดอยู่ห่างจากมุมมองในอดีตมากเกินไป นั่นหมายถึงสิ่งที่ร้ายแรงจริงๆกำลังเกิดขึ้นในตลาดและมีศักยภาพพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากภาพระยะสั้นดีกว่าระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ - นั่นหมายความว่าหาก MA ระยะสั้นตัดข้าม MA ระยายาวจากล่างขึ้นบน - ตลาด มิฉะนั้นหากการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตอยู่สูงกว่าราคาปัจจุบัน - เช่น MA-50 ตัดข้าม MA-200 จากบนลงล่าง - เชื่อว่าตลาดน่าจะเป็นขาลง
ถ้าพูดถึงวิธีการนี้วิธีเดียว มันก็มีตรรกะที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาและใช้งานง่าย คุณเพียงแค่ขีดเส้น MAs ลงบนกราฟ, ดูมันตัดข้ามกัน และทำตามนั้นเป๊ะๆ แต่โดยทั่วไปวิธีการนี้มันเชื่อถือได้แค่ไหน? ความน่าจะเป็นคืออะไร?
โอกาสน้อยมากๆ
ในตารางด้านล่างนี้ เราใช้บริษัทมหาชน 10 แห่งจากธุรกิจหลายประเภท สังเกตุแผนภูมิรายวันของปี 2018 และ 2019 เรานับจำนวนการตัดข้ามกันของ MA-50 ถึง MA-200 ได้หลายครั้งมาก หลังจากนั้นเราก็นับจำนวนของ "การคาดการณ์ที่ถูกต้อง" ที่เกิดจากการตัดข้ามกันของเส้นเหล่านี้ในระยะกลาง นั่นหมายความว่าเราแค่ดูว่าราคาพุ่งขึ้นต่อมั้ยในระยะกลางหลังจาก "golden cross" และลงต่อมั้ยหลังจาก "death cross"
ดังที่คุณเห็น เส้น MA-50 ได้ตัดข้าม MA-200 ใน 10 บริษัทจากทั้งหมด 30 บริษัท ในช่วงปี 2018 -2019 เพียง 11 แห่งเท่านั้นที่เกิดผล หรือพูดได้อีกอย่างว่าการพึ่งพาวิธีการเดียว เทรดเดอร์จะมีโอกาสชนะเพียง 33% ซึ่งมันดูมืดมนไปหน่อย หรือพูดในทางเทคนิคคือเทรดเดอร์น่าจะเสียเงินมากกว่าหากพึ่งพาเครื่องมือนี้ แล้วมันมีปัญหาอะไร?
เวลา
ปัญหาก็คือวิธีการของการตัดกันของเส้น MA นั้นจะขึ้นอยู่อยู่ประสิทธิภาพของตัว MA เอง และ MA ก็เป็นตัวบ่งชี้ที่ช้า นั่นหมายความว่าเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปแล้ว เส้น MA ถึงจะตอบสนองตามมา; ยิ่งใช้ระยะสั้นเท่าไหร่ก็ยิ่งตอบสนองไว้ขึ้นเท่านั้น ดังนั้นพูดอีกอย่างว่า ทุกการขยับของเส้น MA มันคือภาพสะท้อนของการขยับของราคาเกิดไปแล้วซักพัก "ซักพัก" ที่ว่านั้นสำคัญมากเลยทีเดียว
ก่อนอื่น มันต้องใช้เพื่อจับจังหวะที่เส้น MA-50 และ MA-200 ตัดกัน แต่ฐานะที่เป็นเทรดเดอร์ที่ดี คุณจะต้องไม่รีบลงมือทันทีที่เห็นมันตัดกัน คุณจะต้องรอให้มันไม่กลับเดิมและได้รับการยืนยันด้วยเวลา ลำดับต่อมาคุณต้องเสียเวลาเพื่อเปิดการซื้อขาย: เปิดออเดอร์, วาง stop loss และ take profit และลำดับสุดท้ายคุรต้องเสียเวลาในการปิดตำแหน่ง หากคุณปฏิบัติตามเทคนิคที่ใช้เส้น MA-50 กับ MA-200 ตัดกัน - นั่นหมายความว่ากว่าคุณจะได้ปิดตำแหน่งก็ต้องรอไปอีกสองสามวัน ดังนั้นตั้งแต่จังหวะที่คุณเห็นเส้น MA ตัดข้ามกัน จนถึงจังหวะที่คุณปิดออเดอร์ มันคงจะนานน่าดู และในระหว่างนั้นแรงขับเคลื่อนของตลาดที่ผลักดันให้เส้น MA ตัดกันนั้นอาจอ่อนแรงลงไปก่อนแล้วและเกิดการกลับตัว นั่นหมายความว่าจังหวะที่คุณปิดออเดอร์ได้แล้วอาจแทนที่ด้วยจังหวะเคลื่อนไหวไปยาวๆในทิศทางตรงกันข้า
ดังนั้นนี่เป็นปัญหาเรื่องเวลา และมันมีวิธีแก้ปัญหาบางส่วนซึ่งอาจทำให้คุณสามารถใช้วิธี “death/golden cross” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ใช่ในช่วงเวลาที่มีความผันผวนอย่างรุนแรง และไม่ใช่กับตราสารการซื้อขายที่ผันผวน
มันค่อนข้างมีเหตุผล: คุณต้องเลือกหุ้นหรือคู่สกุลเงินเหล่านั้นที่ไม่เปลี่ยนอารมณ์บ่อยเกินไป และถ้ามันเปลี่ยน มันจะเปลี่ยน"ทั้งหมดทีเดียว" ถ้ามันเป็นแบบที่ว่าคุณก็จะได้รับโอกาสที่ดีในตอนที่คุณมองหาการตัดข้ามกันของเส้น MAs, ตั้งค่าการซื้อขายของคุณ, และในที่สุดก็ปิดตำแหน่งของคุณ ตลาดจะอาจดำเนินไปในที่ที่มันเคยอยู่ในตอนที่คุณสังเกตุเห็น “death/golden cross” เป็นครั้งแรก
ยังมีวิธีการเพิ่มเติมในการร่นเวลาของการเปิดออเดอร์ค้างไว้ ด้วยการทำเช่นนี้คุณจะลดความเสี่ยงในการเห็นออเดอร์ของคุณชน stop loss อันเนื่องมาจากตลาดได้เปลี่ยนทิศทางไป นั่นบอกเป็นนัยๆว่าคุณต้องถ่อมใจลงแล้วแบ่งเก็บกำไรออกไปบางส่วน: เราทุกคนมีแนวโน้มที่จะถือตำแหน่งให้นานขึ้นเพื่อขยายผลกำไรของเรา แต่บ่อยครั้งที่เราถูกลงโทษเพราะความโลภ ดังนั้นความรู้จักพอจะช่วยเราได้รับผลตอบแทน
ตัวอย่างที่
กราฟรายวันด้านล่างนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของหุ้น HP ในช่วงท้ายปี 2018 - ต้นปี 2019
จุด A แสดงให้เห็นถึง “death cross” ที่ชัดเจน แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นปัญหาย้อนหลังเมื่อเรามองจากช่วงเวลาที่ห่างไกลในอดีตเพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมด แต่หากคุณอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาที่มันตัดข้ามกัน คุณจะเห็นเพียง MA-50 ทำมุมกับ MA-200 ซึ่งไม่ควรลงมือทำอะไรเลย
ในชีวิตจริง เว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคนที่ยอมรับความเสี่ยงที่รุนแรงได้ คุณแค่ยังไม่ต้องทำอะไรในจุด A แต่ให้เตือนตัวเองว่าซักพักค่อยกลับมาที่กราฟนี้เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มกำลังจะลงจริงๆ
นั่นคือเมื่อมาถึงจุด B คุณเห็นกราฟ คุณเห็นราคาที่ร่วงลงถึง $19.20 และจากนั้นพุ่งกลับไปถึง $21.50 นอกจากนี้คุณจะเห็นช่องว่างที่เพิ่มขึ้นระหว่าง MA-50 และ MA-200 หลังจากที่พวกมันสร้าง "death cross" ที่สังเกตได้ ดังนั้นคุณคิดว่า:“ โอเคเรามี death cross, กลยุทธ์สำหรับแนวโน้มขาลง และการพักตัวขึ้นด้านบน; ฉันจะเปิด sell ตรงนี้เพราะการพักตัวนี้จะสิ้นสุดในไม่ช้าและฉันจะเห็นว่ามันจะร่วงลงต่อ" ดังนั้นคุณจึงเปิด sell ในวันที่ 10 มกราคม จนมาถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ คุณก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากการพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุด C: คุณสูญเสียเงิน, สาปแช่งช่วงเวลาที่คุณเห็น "death cross" และตัดสินใจที่จะไม่ใช้วิธีนี้อีกครั้ง
หลังจากนั้น คุณเปิดกราฟรายวันของ HP โดยบังเอิญ - และนั่นเป็นเพียงการค้นพบว่าในที่สุดราคาก็ลงไปถึงระดับ $19.20 แถมยังร่วงลงไปต่ำกว่าได้อีก นั่นคือตำแหน่งควรปิดออเดอร์ แต่คุณจะต้องใช้เวลาหลายเดือนเพื่อจะไปถึงที่นั่น
ตัวอย่างนี้ค่อนข้างขัดแย้ง ในอีกด้านหนึ่ง “death cross” ให้การทำนายที่ถูกต้อง - ในที่สุดราคาก็ร่วงลง แต่มันจะเป็นตามนั้นจริงๆ (แค่ 33% ของกรณีทั้งหมด) สำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่เต็มใจที่จะเปิดสถานะทิ้งไว้เป็นเวลาหลายเดือนแล้วจ่ายค่า swap?
การหยั่งรู้
นั่นนำเราไปสู่อีกปัญหาหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นปัญหาพื้นฐานของวิธีการนี้ ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่เป็นตัวบ่งชี้ที่สะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ลำพังด้วยตัวมันเองจะไม่อาจทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงถัดไป
ในสถานการณ์ที่สังเกตเห็นแล้ว ในทางเทคนิคแล้ว “death cross” ที่ปรากฏขึ้นในจุด A เนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาได้ร่วงลงจาก $ 24 ต่อหุ้นไปจนถึงบริเวณ $21.50 และต่ำกว่า - การลดลงนี้เป็นสิ่งที่บังคับให้ 50-MA เพื่อโค้งลงเพื่อตัดข้าม 200-MA
การคิดว่า“โอเคฉันเห็น death cross ละ - แปลว่าราคาจะลดลงอีก” นับเป็นการเข้าใจผิดอย่างแรง การคิดพิจารณาแบบที่ถูกต้องควรจะเป็น “โอเคฉันเห็น death cross แปลว่าตลาดแรงเทขายที่แข็งแกร่งซึ่งอาจทำให้ราคาร่วงลงต่อไปอีก” สร้างการเชื่อมโยงกับสิ่งที่สังเกตุเห็น ("death cross") กับผลลัพธ์ที่ต้องการ (ราคาจะร่วงลงต่อ) ข้อหลังตีความภาพปรากฏการณ์ที่เห็น (“death cross”) เป็นตัวบ่งชี้ของการทำงานภายใน (“แรงขาย”) ของตลาดและทำการสันนิษฐาน (เท่านั้น!) ว่าการทำงานภายในเหล่านั้นอาจขยายผลของพวกเขาไปยังอนาคตที่ใกล้ที่สุด
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของความแตกต่างระหว่างการซื้อขาย"แบบเบาๆ" และเรียนรู้วิธีการทำกำไร ไม่จำเป็นต้องพูดว่าถ้าคุณรับมันเบาๆ กำไรของคุณก็จะเบาตาม
หากคุณต้องการกำไรแบบจริงจัง - ก็จงจริงกับการตีความตัวบ่งชี้และตลาด
มันไม่ต้องใช้อะไร แค่ต้องการรู้ว่าคุณทำอะไร, ทำทำไม และทำเมื่อไหร่ ตัวอย่างข้างล่างจะทำให้เห็นภาพ
ที่หุ้น HP ตัวเดียวกัน ไปดูที่กราฟรายวัน, ในจังหวะที่ถึงจุด B คุณจะสังเกตเห็น "golden cross" ที่จุด A และมันถูกต้องที่จะเปิด buy หากคุณเปิดที่ราคา $21.50 ในจังหวะนั้น คุณจะเห็นราคาพุ่งขึ้นไปที่ $23.50 นั่นคือเกือบ 10% นับว่าไม่เลวเลยสำหรับการรอประมาณหนึ่งเดือนโดยคำนึงถึงว่ามีการพักตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เกิดขึ้นต่ำกว่าราคาเดินที่ $21.50 แต่ตรงนี้คุณมีทางเลือกว่า: ถ้าอยู่ที่ราคา $23.50 คุณอาจคิดว่า “โอเค คุ้มละได้กำไรแค่นี้ก็พอ” แล้วคุณก็ปิดตำแหน่งของคุณ คุณจะชนะเกมส์นี้ แต่หากคุณคิดว่า “ยังไม่ปิดหรอก อุตสาห์รอมาตั้งนาน มันต้องได้กำไรมากกว่านี้ถึงคุ้มกับที่รอมานานขนาดนั้น” และแล้วคุณก็เห็นราคาร่วงลงเหลือ $14.41 ซึ่งตอนนี้สูญเสียหมดพอร์ท
สรุป
คุณควรทราบว่าจริงๆแล้วไม่มีตัวอย่างไหนที่กล่าวมาข้างบนจะสำเร็จได้อย่างสวยงาม ในแต่ละตัวอย่างนั้น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการซื้อขายของคุณได้กำไรหรือขาดทุน ซึ่งมันสะท้อนภาพได้เป็นธรรมชาติมากๆ - ลำพังด้วย MA เพียงตัวเดียวมันไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ หากคุณเห็น "death cross" และ "golden cross" อย่ารีบปรี่เข้าไปเปิดออเดอร์ จงตรวจตรวจสอบกรอบเวลาอื่นๆด้วย, ดูตัวบ่งชี้อื่นๆประกอบ (โดยเฉพาะกลุ่ม oscillator ที่จะช่วยเติมเต็มตัวบ่งชี้กลุ่มแนวโน้มได้), ตรวจสอบข่าวและปัจจัยพื้นฐานฯของสินทรัพย์ที่คุณสนใจ นอกจากนี้ก็ใช้เซนส์
สุดท้ายนี่จะเป็นเพียงแค่เส้นสองเส้นตัดกัน มันจะเป็นส่วนประกอบของกลยุทธ์การซื้อขายที่มีความเสถียรหรือไม่ มันขึ้นอยู๋กับตัวคุณเอง
คล้ายกัน
ในการซื้อขาย เราสามารถพึ่งพาสัญญาณเข้าที่แตกต่างกันมากมายได้
รูปแบบกรอบสามเหลี่ยมเป็นรูปแบบการสะสมราคาของราคาสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวภายในช่วงที่แคบลงเรื่อย
-
จะเริ่มเทรดอย่างไร?
หากคุณอายุ 18 ปีขึ้นไปคุณสามารถเข้าร่วม FBS ได้และเริ่มต้นการเดินทาง FX ของคุณ ในการซื้อขายคุณจะต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และมีความรู้ที่เพียงพอเกี่ยวกับวิธีการทำงานของสินทรัพย์ในตลาดการเงิน เริ่มด้วยการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วย สื่อการเรียนรู้ฟรี และ สร้างบัญชี FBS คุณอาจต้องการทดสอบสภาพแวดล้อมด้วยเงินเสมือนจริงผ่านบัญชีทดลอง เมื่อคุณพร้อมเข้าสู่ตลาดจริงแล้ว ก็เริ่มทำการซื้อขายเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จ
-
จะเปิดบัญชี FBS ได้อย่างไร?
คลิกที่ปุ่ม 'เปิดบัญชี' บนเว็บไซต์ของเราแล้วไปที่ Trader Area ก่อนที่คุณจะเริ่มซื้อขายได้ โปรไฟล์ของคุณจะต้องได้รับการยืนยันเสียก่อน ยืนยันอีเมลและเบอร์โทรศัพท์ของคุณ จากนั้นให้ทำการยืนยันตัวตนของคุณ ขั้นตอนนี้จะช่วยรับประกันความปลอดภัยของเงินและตัวตนของคุณ เมื่อคุณผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ให้ไปที่แพลตฟอร์มการซื้อขายที่ต้องการ แล้วเริ่มซื้อขายได้เลย
-
จะถอนเงินที่ทำได้กับ FBS ได้อย่างไร?
กระบวนการนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ไปที่หน้า การถอนเงิน บนเว็บไซต์หรือส่วนการเงินของ FBS Trader Area และเข้าไปที่การถอนเงิน คุณจะได้รับเงินที่ทำได้รับผ่านระบบการชำระเงินเดียวกับที่คุณใช้ในการฝากเงิน ในกรณีที่คุณฝากเงินเข้าบัญชีผ่านหลายวิธี ให้ถอนกำไรของคุณผ่านวิธีเดียวกันในอัตราส่วนตามยอดเงินที่ฝากเข้ามา