Nasdaq คืออะไรและจะเทรดมันได้อย่างไร?

ตลาดหุ้นนั้นเต็มไปด้วยดัชนีต่างๆ Nasdaq เป็นเพียงหนึ่งในนั้น แต่ทำไมมันถึงเป็นที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์นัก? อะไรที่ทำให้มันพิเศษมากๆ? มาหาคำตอบกันเลย

นี่คืออะไร?

มันมีดัชนี Nasdaq Composite และดัชนี Nasdaq 100 อย่าสับสนล่ะ ดัชนี Nasdaq Composite ประกอบด้วย หุ้นในประเทศและต่างประเทศทั้งหมด ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ในขณะที่ Nasdaq 100 เป็นดัชนีที่คัดมาจาก Nasdaq Composite ซึ่งมีเพียง 100 บริษัทชั้นนำที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน นอกจากนี้ Nasdaq 100 ยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อ US 100 อีกด้วย ในแผนภูมิด้านล่าง คุณจะเห็น Nasdaq 100 

ความแตกต่างหลักของ Nasdaq 100 จากดัชนีอื่นๆ เช่น S&P 500 และ Dow Jones คือมันประกอบไปด้วยหุ้นของกลุ่มเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่ (47.25%) นั่นคือเหตุผลที่นักลงทุนเรียกมันว่าเกณฑ์มาตรฐานสำหรับหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หรือเรียกแค่ดัชนีเทคโนโลยี ส่วนที่เหลือเป็นของการบริการ (19.37%), การดูแลสุขภาพ (10.13%) และสินค้าอุปโภคบริโภค (7.82%) 

เทคโนโลยีบูมท่ามกลางโควิด -19

ไวรัสโคโรน่าทำให้หุ้นเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการด้านอีคอมเมิร์ซ, เทคโนโลยีคลาวด์ และบริการสตรีมมิ่ง ที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่มีการล็อกดาวน์เป็นเวลานาน การทำให้เป็นดิจิทัลนั้นเริ่มต้นมาได้ดี ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาด แต่มันก็ติดสปีดให้แนวโน้มดังกล่าวมากยิ่งขึ้น เป็นผลให้ Nasdaq พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างไม่น่าเชื่อ! โดยมันเพิ่มขึ้นเกือบ 60% ตั้งแต่เดือนมกราคม 2020

Nasdaq มีการคำนวณอย่างไร?

ดัชนี NASDAQ-100 ถูกถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาดของบริษัทต่างๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มูลค่าทั้งหมดของดัชนี มีค่าเท่ากับ มูลค่ารวมของน้ำหนักหุ้น หรือที่เรียกว่าหุ้นดัชนีของหลักทรัพย์ดัชนีแต่ละตัวคูณด้วย ราคาขายสุดท้ายของหลักทรัพย์แต่ละตัว และหารด้วยตัวหารของดัชนี

ทำไมมันจึงมีความสำคัญ การถ่วงน้ำหนักนี้จะช่วยจำกัดอิทธิพลของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด และสร้างความสมดุลให้กับดัชนีกับสมาชิกทุกคน ไม่มีบริษัทใดของ Nasdaq-100 ที่สามารถมีน้ำหนักได้มากกว่า 24% ในตอนที่หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่พุ่งขึ้นหรือร่วงลง มันก็ยังคงมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก

บริษัทใดบ้างที่อยู่ใน Nasdaq?

โดยรวมแล้วมีอยู่ 102 สัญลักษณ์ เนื่องจากหลายบริษัทนั้นมีหุ้นสองระดับ ตัวอย่างเช่น บริษัทแม่ของ Google ซึ่งก็คือ Alphabet มีหุ้น Class A (GOOGL) และ Class C (GOOG) ในดัชนี

นี่คือรายชื่อหุ้นชั้นนำในดัชนี Nasdaq ซึ่งคุณสามารถค้นหาบริษัทที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ Apple ไปจนถึง Tesla ได้

จะทำการเทรด NASDAQ ได้อย่างไร?

ก่อนอื่นเลยคุณควรเปิดสัญญาที่เหมาะสม อย่าเพิ่งสับสนนะ ใน MetaTrader คุณจะพบเครื่องมือสองอย่างคือ Nasdaq และ Nasdaq-*ปีปัจจุบันและตัวอักษร* Nasdaq นั้นเป็นเพียงเพื่อการวิเคราะห์ ไม่ใช่เพื่อการเทรด ส่วน Nasdaq-*ปีปัจจุบันและตัวอักษร* นั้นมีเพื่อการเทรด สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับสัญญาการซื้อขายคือ บุคคลใดๆ สามารถซื้อขายได้ทั้งสองทิศทาง เช่นเดียวกับที่คุณซื้อขายสกุลเงิน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คุณสามารถใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาได้ จากการซื้อหรือการขายมัน

ดังนั้นหากต้องการเปิดสัญญา ให้คลิกที่ปุ่ม “สร้างแผนภูมิใหม่” ที่มุมบนด้านซ้าย จากนั้นกดปุ่มต่อไปนี้ ดังภาพด้านล่าง

หลังจากนั้นคุณจะได้รับแผนภูมิของสัญญา ซึ่งจะหมดอายุในเวลาที่กำหนด หากต้องการทราบวันหมดอายุ ให้ไปที่ข้อกำหนดของสัญญา โดยคลิกที่ปุ่มขวาบนสัญญาของ Nasdaq ดังที่แสดงด้านล่าง จากนั้นคุณจะพบเวลาของการซื้อขายครั้งล่าสุด หากคุณไม่อยากจะกังวลกับวันหมดอายุละก็ US 100 จะเป็นสิ่งที่เหมาะกับคุณ

ในแอปฯ FBS Trader นั้นง่ายยิ่งกว่าซะอีก คุณแค่คลิกที่ปุ่ม “ดัชนี” จากนั้นคุณจะพบสัญญาที่ต้องการในเมนูตัวเลือก

ตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่า Nasdaq คืออะไร และจะเทรดมันได้อย่างไร! ติดตาม รายงานผลประกอบการ, ข่าวสารของบริษัท และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เพื่ออัปเดตอยู่เสมอ ซึ่งจริงๆ แล้ว อนาคตนั้นอยู่กับเทคโนโลยี และเนื่องจาก Nasdaq เป็นดัชนีด้านเทคโนโลยี มันจึงมีศักยภาพสูงที่จะเติบโตไปสู่จุดสูงสุดใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการเทรดดัชนีแทนหุ้นแต่ละตัว คุณจะลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่คาดคิด จากการเผยแพร่ข่าวอย่างกะทันหันของบริษัท

ลงชื่อเข้าใช้

Author: FBS Analyst Team

บทความอื่นๆ จากผู้เขียนนี้

คล้ายกัน

28.12.2022 17:05 วิธีการซื้อขายรูปแบบแท่งเทียน Three Black Crows

ในการซื้อขาย เราสามารถพึ่งพาสัญญาณเข้าที่แตกต่างกันมากมายได้

12.12.2022 09:25 วิธีการเทรดด้วยรูปแบบกรอบสามเหลี่ยม?

รูปแบบกรอบสามเหลี่ยมเป็นรูปแบบการสะสมราคาของราคาสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวภายในช่วงที่แคบลงเรื่อย

14.11.2022 09:10 ตัวอย่างและคำจำกัดความของแผนการซื้อขาย Forex

การเทรดนั้นมีความซับซ้อนหลายระดับ เริ่มจากที่ง่ายที่สุด เช่น การซื้อและขายสินทรัพย์แบบสุ่ม ไปจนถึงระดับที่ต้องใช้ความเข้าใจมากขึ้น ที่ต้องมีการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ, จังหวะเวลา, และการตั้งเป้าหมาย