การลงทุน vs. การเทรด: ความแตกต่างคืออะไร?
ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ผู้คนมากมายเริ่มให้ความสนใจในการทำกำไรจากตลาดการเงิน ไม่ว่าจะผ่านการเทรดหรือการลงทุน อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามือใหม่จำนวนมากมีความเข้าใจขั้นพื้นฐานสุด ๆ เกี่ยวกับการลงทุนและการเทรดที่แท้จริงว่าคืออะไร ในขณะที่บางคนไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างกลยุทธ์ทั้งสองนี้
ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าการเทรดและการลงทุนคืออะไร อะไรคือความแตกต่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้ และกลยุทธ์ใดที่เหมาะกับคุณที่สุด
ประเด็นสำคัญ
- การเทรดและการลงทุนเป็นกลยุทธ์ที่แตกต่างกันซึ่งต้องใช้ความพยายาม เวลา และเงินทุนในปริมาณที่ต่างกัน
- การเทรดนำมาซึ่งผลกำไรอย่างรวดเร็วและมั่นคง ในขณะที่นักลงทุนจะได้รับกำไรหลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่ง
- เทรดเดอร์ใช้ประโยชน์จากความผันผวนของราคาในระยะสั้นและมีแนวโน้มที่จะซื้อและขายสินทรัพย์ภายในระยะเวลาอันสั้น
- นักลงทุนนำเงินของพวกเขาไปลงทุนในการลงทุนระยะยาวเพื่อให้มูลค่าของสินทรัพย์เติบโต แล้วจึงขายในภายหลัง
การลงทุน vs การเทรด: ความแตกต่างหลัก ๆ
เรามาเริ่มจากพื้นฐานกันก่อนดีกว่า
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างนักลงทุนและเทรดเดอร์ก็คือระยะเวลาการถือตำแหน่งหรือระยะเวลาที่พวกเขาเปิดตำแหน่งไว้ นักลงทุนตั้งเป้าหมายที่จะทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะยาว โดยถือคำสั่งซื้อขายไว้เป็นเดือนหรือเป็นปีต่อแต่ละคำสั่ง ในขณะที่เทรดเดอร์ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น บางครั้งก็ปิดการเทรดภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือแม้แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากที่เปิดตำแหน่ง
ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือขนาดของเงินทุนเริ่มต้นที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ต้องการ เนื่องจากการทำกำไรจากการลงทุนใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงดูสมเหตุสมผลมากกว่าที่จะลงทุนด้วยเงินจำนวนมากในคราวเดียว อย่างไรก็ตาม ในการเทรด คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนจำนวนมากในการเริ่มซื้อขาย นอกจากนี้ การเทรดนั้นมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการรวบรวมเงินจำนวนมากเพื่อใช้ซื้อขายในระยะสั้นอาจทำให้เทรดเดอร์ขาดทุนมหาศาลได้
แต่สิ่งที่ผู้เริ่มต้นสนใจมากที่สุดคือจำนวนของกำไรที่จะได้รับจากการเทรดหรือการลงทุน เทรดเดอร์มักจะได้รับเงินจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกวัน ในขณะที่นักลงทุนตั้งเป้าที่จะสร้างรายได้ระยะยาวจากสินทรัพย์ของตน โดยไม่พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมหรือควบคุมจำนวนกำไรที่พวกเขาวางแผนจะได้รับ
ตอนนี้เราก็ได้รู้ถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการลงทุนและการเทรดแล้ว มาดูกลไกของทั้งสองอย่างนี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้นและดูว่ากลไกใดที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความสามารถของคุณมากกว่ากัน
การเทรดคืออะไร?
การเทรดเป็นกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายหุ้น สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารทางการเงินอื่น ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เทรดเดอร์มุ่งเน้นไปที่การซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำและขายในราคาที่สูง ทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น พวกเขาไม่ได้สนใจตลาดที่มั่นคง ในความเป็นจริง ยิ่งตลาดมีความผันผวนมากเท่าใด เทรดเดอร์ก็จะสามารถทำกำไรได้จากการเทรดแต่ละครั้งได้มากเท่านั้น
เวลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและตัวบ่งชี้ต่าง ๆ เพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต และวางคำสั่งซื้อขายอย่างรวดเร็วเพื่อจับการเปลี่ยนแปลงของราคาให้ทันและพยายามทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เทรดเดอร์ยังต้องจับตาดูตลาดอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เพื่อระบุโอกาสในการเทรดที่ดีที่สุดและใช้โอกาสเหล่านั้นเพื่อพยายามทำกำไร
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับการเทรดก็คือ เทรดเดอร์ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้างรายได้ให้ได้จำนวนหนึ่ง หากสามารถทำได้ ความผันผวนของราคาที่เทรดเดอร์พยายามจับให้ทันมักจะไม่ค่อยมาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำการเทรดจำนวนมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายกำไรของพวกเขา โดยทั่วไปแล้ว เทรดเดอร์จำนวนมากลาออกจากงานประจำเพื่อรับรายได้ที่มั่นคงจากการเทรด
ข้อดีและข้อเสียของการเทรด
มาดูข้อดีและข้อเสียของการเทรดกัน ข้อดีของการเทรด ประกอบด้วย
- สะดวกสบาย การเป็นเทรดเดอร์นั้นเป็นเรื่องง่ายเพราะทำเพียงแค่ซื้อและขายสินทรัพย์ ขั้นตอนการเทรดในตลาดการเงินนั้นง่ายและรวดเร็ว ทำให้คุณสามารถเปิดและปิดการเทรดได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง สิ่งนี้สำคัญมากเนื่องจากเทรดเดอร์มักจะต้องแข่งกับเวลาเพื่อพยายามคว้าโอกาสที่ดีที่สุด
- ทำกำไรได้จำนวนมาก ผลกำไรของคุณจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่คุณรับได้ เงินทุนของคุณ ความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ที่คุณเลือกซื้อขาย และกลยุทธ์ของคุณ แต่เทรดเดอร์ที่มีโอกาสลาออกจากงานและทำการเทรดแบบเต็มเวลาก็สามารถทำกำไรโดยรวมได้ดี การเทรดยังช่วยให้คุณสามารถถอนรายได้ของคุณไปยังบัญชีธนาคารของคุณโดยตรงได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการอีกด้วย
- โอกาสมากกว่า เทรดเดอร์จะไม่ท้อใจเมื่อตลาดมีความผันผวนหรือเข้าสู่แนวโน้มขาลง พวกเขาสามารถหาวิธีทำกำไรจากราคาที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะพวกเขาเก็งกำไรจากความแตกต่างระหว่างราคาเปิดและราคาปิด ยิ่งมีความแตกต่างมากเท่าไร คุณก็ยิ่งได้กำไรมากขึ้นเท่านั้น (แน่นอนว่าหากความแตกต่างนี้เป็นผลดีต่อคุณ)
- เลเวอเรจ เทรดเดอร์สามารถใช้เลเวอเรจเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่มีราคาสูงกว่าที่พวกเขาสามารถจ่ายได้ด้วยเงินของตัวเอง เลเวอเรจสามารถเพิ่มผลกำไรของคุณได้แบบทวีคูณ ถึงแม้ว่าจะมาพร้อมกับเงื่อนไขบางประการก็ตาม
สำหรับข้อเสีย สิ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรนำมาพิจารณาก่อนตัดสินใจเป็นเทรดเดอร์
- ความเสี่ยงสูงกว่า โอกาสในการทำกำไรที่มากขึ้นมาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากขึ้น การเทรดนั้นจะทำในระยะสั้น ๆ ในตลาดที่มีความผันผวนสูง แต่มันก็ยากที่จะคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องว่าราคาจะพุ่งไปในทิศทางไหน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้เริ่มต้นที่จะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดไปกับการเทรดที่โชคไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่เลเวอเรจสามารถเพิ่มผลกำไรได้ มันยังเพิ่มจำนวนการสูญเสียให้เทรดเดอร์ได้ด้วย ซึ่งบางครั้งก็ทำให้พวกเขามีหนี้สินจำนวนมาก
- รายรับไม่แน่นอน เทรดเดอร์ที่ลาออกจากงานประจำเพื่อประกอบอาชีพการเทรดมักจะพบว่าการรักษารายได้ให้มั่นคงนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก รายได้ของพวกเขาขึ้นอยู่กับปริมาณการเทรดที่พวกเขาสามารถทำได้ แต่แม้ว่าพวกเขาจะสามารถดำเนินตามแผนการเทรดของพวกเขาได้ การเทรดที่ไม่ประสบความสำเร็จเพียงไม่กี่ครั้งก็อาจทำให้กำไรโดยรวมของพวกเขาลดลง
- ใช้เวลานาน หากคุณต้องการสร้างกำไรอย่างมากจากการเทรด คุณต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอ ดูกราฟราคาและสแกนหาโอกาสดี ๆ ในการเทรด นี่คือเหตุผลที่หลายคนเปลี่ยนการเทรดให้กลายเป็นอาชีพ
การลงทุนคืออะไร?
การลงทุนเป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินทรัพย์ (หุ้น อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ โลหะ ฯลฯ) และถือไว้เป็นระยะเวลานานโดยคาดหวังว่ามูลค่าของสินทรัพย์นั้นจะเพิ่มขึ้นมหาศาล
นักลงทุนมักจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานขณะที่มองหาสินทรัพย์ที่จะเข้าซื้อ ต่างกับเทรดเดอร์เลย เนื่องจากเป้าหมายของพวกเขาคือการสร้างผลกำไรในระยะยาว พวกเขาจึงสนใจที่จะทราบเกี่ยวกับผลประกอบการ ณ ปัจจุบัน รายได้ และศักยภาพในการเติบโตของบริษัท เมื่อพวกเขาซื้อสินทรัพย์แล้ว ก็จะถือครองสินทรัพย์นั้นอย่างอดทนตามระยะเวลาที่กำหนด ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของพวกเขา (การเกษียณอายุ, ค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย, เงินดาวน์บ้าน ฯลฯ)
เนื่องจากนักลงทุนมักจะถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลานาน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดในระยะสั้น หากตลาดประสบกับวิกฤตบางอย่าง นักลงทุนมักจะรอจนกว่าตลาดจะกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยง นักลงทุนมักจะกระจายการลงทุนและรวบรวมหลากหลายสินทรัพย์จากตลาดและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไว้ในพอร์ตเดียว ด้วยวิธีนี้ หากหนึ่งในสินทรัพย์ที่พวกเขาลงทุนไว้ไม่เป็นไปตามที่วางแผน ผลกำไรของพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุน
ข้อดีของการลงทุน ประกอบด้วย
- เอาชนะเงินเฟ้อได้ เงินจะสูญเสียมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไปเพราะเงินเฟ้อ สิ่งที่คุณซื้อได้ในราคา $100 ในวันนี้จะมีราคามากกว่านั้นในวันพรุ่งนี้ การเก็บเงินไว้แค่ในบัญชีออมทรัพย์ของคุณนั้นคงจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยกับราคาที่พุ่งสูงขึ้น นี่คือเหตุผลที่การลงทุนเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดหากคุณอยากจะเอาชนะเงินเฟ้อให้ได้ สินทรัพย์ของคุณจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้นคุณสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้นในอนาคต
- ผลตอบแทนระยะยาว การลงทุนช่วยให้คุณมีหลักประกันทางการเงินในอนาคต แทนที่จะได้รับผลกำไรทันทีและนำไปใช้จ่าย การลงทุนจะเก็บเงินส่วนนี้ไว้ให้คุณใช้ในภายหลังและช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับคุณเมื่อเวลาผ่านไป
- เงินปันผล หากคุณลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผล คุณจะได้รับเงินส่วนหนึ่งของกำไรของบริษัท คุณสามารถนำเงินปันผลเหล่านี้มาเก็บไว้เพื่อเป็นรายได้เสริม หรือนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนและขยายพอร์ตโฟลิโอของคุณให้เติบโตมากขึ้นได้
- ใช้ความพยายามน้อย ด้วยการลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากไปกับกราฟหรือการวิเคราะห์แต่ละความเคลื่อนไหวของตลาด สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือตรวจสอบเพียงแค่สัปดาห์ละครั้งหรือกระทั่งเดือนละครั้ง เพื่อดูว่าสินทรัพย์ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง และดูว่าคุณจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในพอร์ตโฟลิโอของคุณหรือไม่ นอกเหนือจากนั้น คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตปัจจุบันหรือลาออกจากงานเพื่อหารายได้เสริมเลยด้วย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนก็มีข้อเสียเช่นกัน
- ได้รับผลตอบแทนช้า ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน มันอาจใช้เวลาหลายปีกว่าที่สินทรัพย์ของคุณจะมีมูลค่ามากพอที่จะสร้างผลกำไรที่เหมาะสมให้กับคุณ ในระหว่างนี้ หากคุณไม่ได้รับเงินปันผล คุณจะไม่ได้รับรายได้ใด ๆ เลย
- มีความเสี่ยง เมื่อคุณตัดสินใจลงทุนในบางสิ่ง คุณต้องตระหนักว่ามูลค่าของการลงทุนของคุณอาจลดลงเมื่อเวลาผ่านไป การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น หุ้น ก็มีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากมีปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่มีอิทธิพลต่อมูลค่าของบริษัทนั้น ๆ นี่คือเหตุผลที่คุณต้องตรวจสอบสถานะของตลาดเป็นประจำ และหากสินทรัพย์บางส่วนของคุณไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีอย่างที่คุณคาดไว้ คุณอาจแทนที่สินทรัพย์นั้นด้วยสิ่งอื่น หรือหาการลงทุนอื่น ๆ เพิ่มเติมสำหรับพอร์ตโฟลิโอของคุณเพื่อกระจายความเสี่ยง
- มีค่าเสียโอกาส การลงทุนเงินในสินทรัพย์หมายความว่าคุณจะไม่มีเงินที่พร้อมใช้ในมืออีกต่อไป ในกรณีฉุกเฉิน คุณจะไม่สามารถนำเงินก้อนนี้ออกมาใช้จ่ายได้ทันที เนื่องจากการขายทรัพย์สินและถอนเงินของคุณออกมาต้องใช้เวลา และหากคุณถอนเงินบางส่วนออกจากบัญชีการลงทุน คุณอาจสูญเสียผลกำไรบางส่วนและรายได้ทบต้นบางส่วนที่คุณสะสมไว้
อะไรดีกว่ากัน?
อย่างที่คุณเห็น การเทรดและการลงทุนเป็นกลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งต้องใช้ความพยายามในปริมาณที่ต่างกันและมีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน คำตอบสำหรับคำถามที่ว่าอะไรดีกว่ากันสำหรับคุณนั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายของตัวคุณเอง
คุณต้องการมีรายได้ที่มั่นคงหรือต้องการรอรับผลกำไรในอนาคต?
คุณพร้อมที่จะใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการเฝ้าหน้าจอทุกวันไหม? หรือคุณอยากจะตรวจสอบทรัพย์สินของคุณครั้งละนาน ๆ ที?
คุณสนุกกับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและค้นคว้าข้อมูลมากมายหรือไม่? หรือคุณชอบสไตล์การลงทุนแบบสบาย ๆ มากกว่ากัน?
การเทรดอาจทำให้คุณได้รับเงินมากกว่าการลงทุน แต่ต้องใช้เวลาและความพยายามจากคุณมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากการเทรดมีมากกว่าความเสี่ยงจากการลงทุน ดังนั้นคุณต้องวิจัยการเทรดในแต่ละครั้งอย่างรอบคอบ และใช้เวลาส่วนใหญ่ของคุณไปกับการพัฒนาแผนการเทรด
แต่ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงคุณเท่านั้นที่รู้ว่าคุณต้องการอะไร และคุณสามารถทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์ปัจจุบันของคุณ
สรุป
การเทรดและการลงทุนต่างก็มีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรให้กับผู้ใช้ได้ อย่างไรก็ตาม ทั้งเทรดเดอร์และนักลงทุนต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาเงิน ก่อนตัดสินใจว่าจะทำอะไร การประเมินเป้าหมายและความคาดหวังของคุณ รวมถึงทรัพยากรที่คุณมีในมือก็ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่า และดูว่ามันเพียงพอที่จะให้คุณนำไปซื้อขายหรือลงทุนหรือไม่