มาพักจากการดูกราฟสักครู่แล้วอ่านเกี่ยวกับเทรดเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ส่งผลกระทบต่อตลาดและสร้างตำนานไว้ในประวัติศาสตร์การซื้อขาย
ความสำเร็จของเทรดเดอร์ไม่ได้มีอะไรได้มาง่าย ๆ เพราะนอกเหนือจากความสำเร็จแล้ว ก็ยังรวมถึงการสูญเสียอีกนับร้อยครั้งด้วย ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยสีสันทั้งเรื่องชัยชนะและเรื่องราวดราม่า และโอบล้อมไปด้วยเงินทอง การเก็งกำไร และทรัพย์สมบัติมากมาย
เราได้จัดทำรายชื่อผู้ดูแลสภาพคล่องที่มีชื่อเสียงที่สุด รวมถึงเทรดเดอร์ระดับตำนานในประวัติศาสตร์และเทรดเดอร์สมัยใหม่ในยุคของเราเอาไว้ การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด การคิดล่วงหน้า และการมีความยืดหยุ่นช่วยให้พวกเขากลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็มาอ่านบทความเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวคุณเองในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กันเลย
1. จอร์จ โซรอส
จอร์จ โซรอส (George Soros) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "บุรุษผู้ล้มระบบธนาคารกลางอังกฤษ" เกิดในประเทศฮังการีในปี ค.ศ. 1930 เขาเป็นชาวยิวผู้รอดพ้นจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอพยพหนีออกจากประเทศไปได้ในตอนนั้น เขาเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่ได้รับความนิยมและโด่งดังไปทั่วโลก ที่ประเทศอังกฤษ จอร์จ โซรอสทำงานเป็นบริกรหรือพนักงานยกกระเป๋าที่สถานีรถไฟก่อนจบการศึกษาจาก London School of Economics ซึ่งได้ทำให้เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งการธนาคารในที่สุด เมื่อเขาได้กลายเป็นนายธนาคารพาณิชย์ที่ Singer and Friedlander
ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อของเขา เขาได้ย้ายไปสหรัฐอเมริกาเพื่อทำงานที่บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ Wall Street หลังจากประสบความสำเร็จในบริษัทต่าง ๆ จอร์จได้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของเขาในปี 1970 โดยใช้ชื่อว่า "Quantum" ซึ่งทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา
ในปี ค.ศ. 1992 จอร์จ โซรอสวางเดิมพันครั้งใหญ่กับเงินปอนด์อังกฤษและทำเงินได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง
Quantum ระดมเงินทุนได้ 3.9 พันล้านปอนด์ และจอร์จ โซรอสกู้เงินเพิ่มเพื่อระดมเงินทุนเพิ่มอีก ทำให้ยอดรวมทั้งหมดเป็น 5.5 พันล้านปอนด์ แต่แล้วเงินปอนด์อังกฤษก็เริ่มอ่อนค่าลง และจอร์จ โซรอสได้ขายชอร์ตเงินปอนด์ไปทั้งหมด 5.5 พันล้านปอนด์เทียบกับเงินมาร์คเยอรมันในวันที่ 16 กันยายน หรือที่รู้จักกันในชื่อ Black Wednesday หรือวันพุธทมิฬ สิ่งนี้ทำให้ราคาของสกุลเงินปอนด์ร่วงลงและบีบให้สหราชอาณาจักรล้มลงจากกลไกอัตราแลกเปลี่ยนของยุโรปนี้
มันกลายเป็นหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐที่หาได้เร็วที่สุดเท่าที่ใคร ๆ เคยทำได้ และเป็นหนึ่งในการซื้อขายที่โด่งดังที่สุดที่เคยมีมา ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "การล่มสลายของธนาคารกลางอังกฤษ"
2. เจสซี่ ลิเวอร์มอร์
ชีวิตของเจสซี่ ลิเวอร์มอร์ (Jesse Livermore) อาจเป็นเรื่องราวที่นำไปสร้างภาพยนตร์ได้เลยเชียวล่ะ เขาเกิดในปี ค.ศ. 1877 โชคชะตากำหนดให้ชีวิตของเขาเป็นชาวไร่ชาวนา แต่เขาหนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นมหาเศรษฐี เรื่องราวของเขาแวดล้อมไปด้วยเงิน ผู้หญิง การล้มละลาย และเรื่องอื้อฉาว
ตั้งแต่ตอนที่ยังเด็ก ๆ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์เรียนรู้ที่จะอ่านและเขียน เขาสนใจข่าวและเศรษฐกิจ และยังสามารถวิเคราะห์ราคาได้ด้วย ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา เขาเชี่ยวชาญด้านการระบุการกลับตัวของแนวโน้มและทำให้การวิเคราะห์ทางเทคนิคสมัยใหม่เป็นที่นิยม เจสซี่ ลิเวอร์มอร์เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ใช้คำสั่งตัดขาดทุน (Stop Loss) ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่เทรดเดอร์ยังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
เจสซี่ทำการขายชอร์ตหุ้นมูลค่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกก่อนเกิดแผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโก ในปี ค.ศ. 1925 เขาทำกำไรได้ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการขายชอร์ตข้าวสาลี จากนั้นเขาก็ทำกำไรได้ประมาณ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากการขายชอร์ตหุ้นสหรัฐฯ ก่อนที่ตลาดหุ้นจะพังทลายในปี ค.ศ. 1929 ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ที่ร่ำรวยที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนั้น เจสซี่ได้รับฉายาว่า "The Boy Plunger" หรือ "เจ้าหนุ่มนักเก็งกำไรสายชอร์ต"
อย่างไรก็ดี เจสซี่ผ่านการล้มละลายมาหลายครั้ง โดยในสองครั้งแรกเขายังคงสามารถกลับเข้าสู่ตลาดได้ แต่การล้มละลายครั้งที่สามนั้นร้ายแรงมาก เขาทำผิดพลาดและสูญเสียเงินทั้งหมดไปในปี ค.ศ. 1929
เมื่อโศกนาฏกรรมในครอบครัว ความเครียด และความล้มเหลวอื่น ๆ รุมเร้า เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ตระหนักได้ว่าเขาไม่อาจทำการซื้อขายได้ดังเดิมอีกต่อไป ในปี ค.ศ. 1940 เขาก็จบชีวิตของตนด้วยการยิงตัวตาย
อย่างไรก็ตาม เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ จูเนียร์ (Jesse Livermore Jr.) ลูกชายของเขาที่ได้นิสัยติดสุราตามแม่ของตนก็ปลิดชีวิตตัวเองในปี ค.ศ. 1975 หลังยิงสุนัขสุดรักของเขาขณะเมาและพยายามยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ
3. วิลเลียม เดลเบิร์ต แกนน์
หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่ฝึกฝนด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค คุณต้องเคยได้ยินชื่อของ W.D. Gann และทฤษฎีการซื้อขายของเขา วิลเลียม เดลเบิร์ต แกนน์ (William Delbert Gann) เกิดในปี ค.ศ. 1878 ในรัฐเท็กซัส เขาเป็นลูกคนโตจากพี่น้องทั้งหมด 11 คนในครอบครัวชาวไร่ฝ้ายที่มีฐานะยากจน เขาเรียนไม่จบชั้นประถมและไม่ได้เข้าเรียนในชั้นมัธยมใด ๆ ทั้งนั้น เพราะพ่อแม่ของเขาคาดหวังให้เขาทำงานในฟาร์ม
วิลเลียม เดลเบิร์ต แกนน์เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและได้รับการศึกษาส่วนใหญ่จากพระคัมภีร์ สไตล์การเขียนของเขาเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อนและอ้อมค้อม ซึ่งหลายคนคิดว่ามันยากที่จะเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม วิลเลียม เดลเบิร์ต แกนน์ได้สร้างเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลัง ซึ่งประกอบด้วย Gann Angles, Hexagon, Circle of 360, Square of 9 และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยส่วนใหญ่จะอิงจากคณิตศาสตร์โบราณ เรขาคณิต ดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ และเทรดเดอร์ก็นำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
นักวิจารณ์อ้างว่าไม่มีข้อพิสูจน์ที่แท้จริงใดที่พิสูจน์ได้ว่าแกนน์ไม่ได้ทำเงินได้จากการลงทุนในตลาด แต่เขาทำเงินได้จากการขายหนังสือและหลักสูตรการลงทุน และก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจนว่า W.D. Gann ร่ำรวยแค่ไหนจากการวิเคราะห์การซื้อขายของเขา แต่เมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1950 ทรัพย์สินของเขามีมูลค่ามากกว่า 100,000 ดอลลาร์เล็กน้อย
แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว แกนน์ได้สร้างกฎการซื้อขายตั้งแต่หลักการจัดการเงินขั้นพื้นฐานไปจนถึงเกมจิตวิทยาซึ่งยังคงใช้ได้จวบจนปัจจุบัน
4. พอล ทิวดอร์ โจนส์
พอล ทิวดอร์ โจนส์ (Paul Tudor Jones) เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์หุ้นวงในที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ประมาณ 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1976 พอลเริ่มซื้อขายฝ้ายล่วงหน้าที่ตลาดซื้อขายฝ้ายนิวยอร์ก (New York Cotton Exchange) เกร็ดขำขัน: เขาตกงานเพราะเผลอหลับคาโต๊ะของเขาหลังจากปาร์ตี้กับเพื่อนในคืนก่อนหน้า จากนั้น พอลก็ทำงานเป็นนายหน้าซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ และในปี 1980 เขาได้ก่อตั้งบริษัทการค้าและการลงทุนชื่อ Tudor Investment Corporation กองทุนนี้สร้างผลตอบแทนได้ 100% ในช่วงห้าปีแรก ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่น่าอัศจรรย์สำหรับยุคปัจจุบันนี้
คำทำนายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพอลคือการร่วงลงของตลาดในปี ค.ศ. 1987 หรือที่รู้จักกันว่า Black Monday หรือวันจันทร์ทมิฬ เนื่องจากการคาดการณ์ที่ถูกต้อง แทนที่เขาจะสูญเสียเงินเหมือนคนอื่น ๆ พอลกลับทำกำไรได้ไปประมาณ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
พอล ทิวดอร์ โจนส์ได้พัฒนากลยุทธ์การซื้อขายของเขาเองที่ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ กฎหลักของเขาคือต้องสม่ำเสมอและไม่หวังว่าจะได้เงินอย่างรวดเร็ว ทักษะการจัดการความเสี่ยงสูงของเขาและความคาดหวังที่เป็นไปได้จริงเกี่ยวกับการซื้อขายที่เป็นไปได้ทำให้เขามีรายได้ที่มั่นคง
5. จิม โรเจอร์ส
ตั้งแต่วัยเยาว์ จิม โรเจอร์ส (Jim Rogers) มีไหวพริบในการทำธุรกิจค้าขายถั่วลิสงและพลาสติกใช้แล้วที่แฟนเบสบอลทิ้ง เขาจบการศึกษาปริญญาตรี สาขาประวัติศาสตร์ ด้วยเกียรตินิยมดี (cum laude) และปริญญาตรีใบที่สอง สาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ตอนนี้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิโดยประมาณของจิม โรเจอร์สมีมูลค่ามากกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในปี ค.ศ. 1964 จิม โรเจอร์สได้เข้าทำงานที่บริษัท Dominick & Dominick LLC ใน Wall Street เพื่อซื้อขายหุ้นและพันธบัตร แต่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966 ถึง 1968 จิมอยู่ในกองทัพระหว่างสงครามเวียดนาม
สองปีหลังจากรับใช้ชาติในสงครามเวียดนาม จิมได้เข้าทำงานธนาคารเพื่อการลงทุน โดยเขาได้พบกับจอร์จ โซรอส หุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 พวกเขาร่วมกันก่อตั้งกองทุน Quantum Fund ซึ่งสร้างผลตอบแทนได้ถึง 4,200% ในช่วงระยะเวลาสิบปี
ทักษะสูงสุดที่ช่วยให้จิม โรเจอร์สกลายเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จคือความสามารถของเขาในการคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ ในช่วงทศวรรษที่ 1990 เขาได้คาดการณ์ว่าตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นขาขึ้นได้อย่างถูกต้อง จิมยังวิจารณ์ถึงการที่ธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่สามารถต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นได้อีกด้วย โดยเตือนว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายลงก่อนที่จะมีเสถียรภาพ
ในวัยเกษียณ จิม โรเจอร์สได้ออกเดินทางท่องเที่ยวเป็นเวลาสามปีใน 116 ประเทศ ด้วยรถ Mercedes ที่สั่งทำพิเศษ การเดินทางครั้งนี้สร้างสถิติโลกสำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลกอีกด้วย โดยเขาได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการผจญภัยของเขาในครั้งนี้ไว้เช่นกัน
6. ริชาร์ด เดนนิส
ริชาร์ด เดนนิส (Richard Dennis) หรือที่รู้จักกันในฉายา "Prince of the Pit" หรือ "เจ้าชายแห่งสินค้าโภคภัณฑ์" เป็นหนึ่งในเทรดเดอร์ไม่กี่คนที่เปลี่ยนเงินจำนวนเล็กน้อยให้กลายเป็นเงินล้านได้
เมื่อเดนนิสอายุ 23 ปี เขายืมเงิน 1,600 ดอลลาร์และเปลี่ยนเงินนั้นให้เป็น 200 ล้านดอลลาร์ได้ภายใน 10 ปีจากการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ เขาซื้อขายด้วยเงินเพียง 400 ดอลลาร์สหรัฐจากเงิน 1,600 ดอลลาร์สหรัฐก้อนนี้
ภายหลัง ในปี 1973 ริชาร์ด เดนนิสทำกำไรได้ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ปีต่อมา เขามีรายได้เพิ่มขึ้น 500,000 ดอลลาร์สหรัฐจากการซื้อขายในตลาดถั่วเหลือง และกลายเป็นเศรษฐีและเทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียงในปลายปี 1974
แต่เดนนิสก็ขาดทุนเช่นกันในช่วงที่ตลาดหุ้นตกในปี ค.ศ. 1987 และฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี ค.ศ. 2000
ในปี ค.ศ. 1983 ริชาร์ด เดนนิสและบิล เอคฮาร์ท (Bill Eckhardt) ได้ทำการทดลองที่เรียกว่า "Turtle Traders Group" เพื่อศึกษาว่าการซื้อขายนั้นเป็นพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดหรือเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ เดนนิสเชื่อว่าการจะเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้นั้นสามารถเรียนรู้ได้และพัฒนาทักษะนั้นได้ เช่นเดียวกับเต่าที่เลี้ยงในฟาร์ม ตรงกันข้ามกับ Eckhardt เขามองว่าการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด มิฉะนั้นพวกเขาก็จะเรียนรู้ไม่ได้
ในระหว่างการทดลอง พวกเขาออกแบบระบบการซื้อขายที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นบวกระหว่างทั้งสองกลุ่ม ปัจจุบัน เทรดเดอร์ยังคงใช้ระบบของพวกเขาหรือเวอร์ชันของมันต่อไป จากคำบอกเล่าของนักเรียนเก่า เทรดเดอร์เต่าเหล่านี้บางคนทำกำไรได้ถึง 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 4 ปี
7. จอห์น พอลสัน
Forbes, the Guardian, New York Times และสื่ออื่น ๆ มากมายเขียนเกี่ยวกับจอห์น พอลสัน "เทรดเดอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" ซึ่งเกิดในปี ค.ศ. 1955
จอห์น พอลสัน (John Paulson) เริ่มต้นอาชีพของเขาที่ Boston Consulting Group ในปี ค.ศ. 1988 โดยให้คำแนะนำแก่บริษัทต่าง ๆ หลังจากเปลี่ยนงานหลายอย่าง เขาก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Paulson & Co. ด้วยเงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐกับพนักงานหนึ่งคนในปี ค.ศ. 1994 ในปี ค.ศ. 2003 กองทุนของเขามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ชื่อเสียงและความมั่งคั่งร่ำรวยของจอห์น พอลสันเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี ค.ศ. 2007-2008 เมื่อเขามีรายได้เกือบ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ "เปลี่ยนจากผู้จัดการเงินที่ไม่มีคนรู้จักไปสู่ผู้จัดการเงินในตำนาน" ก่อนที่ตลาดจะล่มสลาย เขาซื้อสัญญาแลกเปลี่ยนเครดิตผิดนัดชำระหนี้ที่ใช้แล้วและใช้มันเพื่อเดิมพันกับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยซับไพรม์ (Subprime) ของสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บางคนเรียกว่าเป็นการซื้อขายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ในปี 2010 จอห์น พอลสัน ทำเงินได้ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลงทุนในทองคำเป็นหลัก Forbes ประเมินมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขาไว้ที่ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2023
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียเงินลงทุนของจอห์นในหุ้นบางตัวทำให้นักลงทุนหนีออกจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Paulson & Co ของเขา โดยทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารลดลงเหลือ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2020 จากระดับสูงสุด 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี ค.ศ. 2011
มหาเศรษฐีแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการกระจายการลงทุน ไม่เพียงแต่กระจายสินทรัพย์เท่านั้น แต่รวมถึงกลยุทธ์ด้วย โดยเป็นการผสมผสานกลยุทธ์การเก็งกำไรแบบอนุรักษ์นิยมและแนวคิดการเก็งกำไรอย่างตรงไปตรงมาด้วยการแบ่งกองทุน
8. สตีเวน โคเฮน
สตีเวน โคเฮน (Steven Cohen) เกิดในปี ค.ศ. 1956 ที่รัฐนิวยอร์ก ในฐานะนักเล่นโป๊กเกอร์ตัวยง สตีเวนใช้เงินทั้งหมดที่เขาได้รับจากการเล่นไพ่ไปกับการเก็งกำไรหุ้นในขณะที่ยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย โดยในช่วงพักเบรกเขาวิ่งไปที่สำนักงานธนาคาร Merrill Lynch ที่ใกล้ที่สุด
ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิในปัจจุบันประมาณ 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โคเฮนเริ่มต้นอาชีพของเขาที่บริษัทวาณิชธนกิจ Gruntal และเข้าสู่ตลาดหุ้นในปี ค.ศ. 1978
ในการทำงานวันแรกของเขา สตีเวนเริ่มต้นด้วยการทำเงินได้ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นเขาก็ทำเงินให้บริษัทได้ถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในปี 1992 เขาลาออกจาก Gruntal และก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่ง นั่นคือ SAC Capital Partners ภายในปี ค.ศ. 2013 กำไรเฉลี่ยต่อปีของ SAC สูงถึง 25%
แม้ว่าสตีเวนจะประสบความสำเร็จและร่ำรวย แต่เส้นทางชีวิตของเขาไม่ได้มีแต่ชัยชนะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสูญเสียหลายครั้งด้วย ในปี ค.ศ. 2010 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ทำการสอบสวน SAC สำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน แม้ว่าสตีเวนจะไม่ถูกตั้งข้อหา แต่บริษัทก็สารภาพผิดและจ่ายค่าปรับ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่อมาในภายหลังเขาถูกบังคับให้ปิดกองทุนของเขา
แต่สตีเวน โคเฮนได้กลายเป็นที่รู้จักจากความสามารถที่ประสบความสำเร็จและทำกำไรได้ในทุกสถานการณ์ เขายังเป็นเทรดเดอร์หุ้นที่มีชื่อเสียงซึ่งชอบความเสี่ยงและได้รับชัยชนะครั้งใหญ่อีกด้วย ปัจจุบันเขาเป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Point72 Asset Management ซึ่งเป็นสำนักงานของครอบครัวในสแตมฟอร์ด รัฐคอนเนตทิคัต
9. เดวิด เท็ปเปอร์
เดวิด เท็ปเปอร์ (David Tepper) บุรษผู้ร่ำรวยที่สุด ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จ และผู้ใจบุญ เขาเกิดในปี ค.ศ. 1957 ในครอบครัวชาวยิว เดวิดก้าวเข้าสู่ตลาดในขณะที่ยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน ในปี ค.ศ. 1982
หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว เดวิด เท็ปเปอร์ได้งานที่ Equibank ในตำแหน่งนักวิเคราะห์สินเชื่อและได้เข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมการเงิน จากนั้น เขาก็เปลี่ยนบริษัทที่ทำงานหลายแห่ง โดยเขาเคยทำงานที่ Keystone ด้วย และได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานใน Goldman Sachs เป็นเวลาแปดปี โดยมุ่งเน้นที่การจัดการกับปัญหาการล้มละลายและสถานการณ์พิเศษเป็นหลัก เดวิด เท็ปเปอร์มีบทบาทสำคัญสำหรับการอยู่รอดของ Goldman Sachs หลังจากตลาดหุ้นตกในปี ค.ศ. 1987 เขาซื้อตราสารหนี้จากสถาบันการเงินที่กำลังจะล้มละลายซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเมื่อตลาดฟื้นตัว
แต่เดวิด เท็ปเปอร์พยายามที่จะบริหารกองทุนของเขาเองและซื้อขายอย่างจริงจังเพื่อรวบรวมเงินให้เพียงพอสำหรับสิ่งนี้ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1993 เขาได้ก่อตั้ง Appaloosa Management หนึ่งการลงทุนที่ทำกำไรได้เร็วที่สุดและมากที่สุดคือการลงทุนใน Conseco และ Marconi ต่อจากนั้น Appaloosa ก็ได้ตั้งตัวเองเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เชี่ยวชาญด้านตราสารหนี้ที่ด้อยคุณภาพ ซึ่งเชื่อมโยงกับการลงทุนในตราสารทุนสาธารณะทั่วโลกและตลาดตราสารหนี้
ในปี ค.ศ. 2009 Appaloosa ทำรายได้ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการซื้อหุ้นที่มีปัญหาซึ่งฟื้นตัวขึ้นมาในปีนั้น กำไร 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐตกเป็นของเดวิด เท็ปเปอร์เป็นการส่วนตัว ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่มีรายได้สูงสุดในปี ค.ศ. 2009
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเดวิด เท็ปเปอร์อยู่ที่ 16.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลของ Forbes ในปี ค.ศ. 2020 สัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในพอร์ตโฟลิโอของเขาคือ Alibaba ที่ 13% และ Amazon ที่ 11%
10. นิค ลีสัน
นิค ลีสัน (Nick Leeson) เกิดในปี ค.ศ. 1967 และมีชื่อเสียงจากการล้มละลายของ Barings Bank จากการที่เขาไม่ได้มีการศึกษาสูง เขาจึงได้ทำงานเอกสารที่ธนาคาร Coutts ซึ่งไม่ต้องใช้ทักษะพิเศษอะไร
แต่นิค ลีสันยังคงพัฒนาความรู้ทางการเงินของเขาต่อไปเรื่อย ๆ และไม่นานก็ย้ายไปทำงานที่ Morgan Stanley ที่ซึ่งเขาได้รับการสอนวิธีคำนวณฟิวเจอร์สและออปชันอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาได้ทำงานที่ Barings Bank และต่อมาก็เดินทางไปทำงานที่เอเชียที่ Singapore International Monetary Exchange (SIMEX)
เรื่องราวสุดโด่งดังของเขาเริ่มต้นขึ้นที่นี่ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1992 Barings ได้เปิดสำนักงานฟิวเจอร์สและออปชันในสิงคโปร์ ที่ทำการดำเนินการและเคลียร์ธุรกรรมการซื้อขายบน SIMEX นิค ลีสัน เมื่ออายุ 26 ปี นอกเหนือจากการทำกิจกรรมในฐานะเทรดเดอร์แล้ว เขายังเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของสำนักงานฟิวเจอร์สและออปชันในสิงคโปร์ และเริ่มทำการซื้อขายเก็งกำไรโดยไม่ได้รับอนุญาต
ในตอนแรก การซื้อขายเหล่านี้สร้างกำไรมหาศาลให้กับ Barings โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมา 10 ล้านปอนด์ หรือ 10% ของกำไรประจำปีของบริษัท นิคยังได้รับโบนัส 130,000 ปอนด์จากเงินเดือน 50,000 ปอนด์อีกด้วย แต่แล้วโชคชะตาก็เปลี่ยนไป และนิค ลีสันเริ่มใช้เงินของธนาคารด้วยบัญชีลับพิเศษเพื่อปกปิดการซื้อขายที่ไม่ดีของตัวเองและคนอื่น ๆ
ในปี 1995 การสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดและจุดจบของนิค ลีสันและ Barings ก็เกิดขึ้น นิค ลีสันซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจำนวนมากเพื่อกดดันตลาด แต่แผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.2 ในญี่ปุ่นทำให้สินทรัพย์เหล่านี้ร่วงลง ผลของการฉ้อโกงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้ Barings Bank ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 233 ปี ขาดทุน 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และถูกขายให้กับ ING กลุ่มบริษัทในเครือของเนเธอร์แลนด์ในราคา 1 ปอนด์
นิค ลีสันหนีออกจากธนาคารโดยทิ้งข้อความสามคำไว้ว่า “ผมขอโทษ” เขาหวังว่าจะหลีกเลี่ยงคุกสิงคโปร์ได้ แต่ถูกทางเยอรมนีควบคุมตัวและส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสิงคโปร์ ซึ่งเขารับโทษจำคุกสี่ปีในเรือนจำท้องถิ่น รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 6.5 ปี นิค ลีสันเป็นมะเร็งขณะอยู่ในคุก แต่แพทย์ชาวสิงคโปร์ที่เก่งที่สุดได้ทำรักษานักโทษชื่อดังก้องโลกจนหายดี
ปัจจุบัน นิคไม่สามารถเปิดตำแหน่งใด ๆ ในตลาดหุ้นได้ แต่ยังคงทำเงินได้มากกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนสำหรับการประชุมของเขา
ด้วยการเดินตามรอยเท้าของเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนร่วมงานของเขาหลายคนร่ำรวยขึ้น เรื่องราวของพวกเขาอาจมีความขัดแย้ง แต่ก็ยังโดดเด่นและเป็นที่พูดถึง และเทรดเดอร์ทุกคนในรายการของเราก็สามารถพิชิตตลาดและทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นทุกคนที่มีความคิดที่ดีสามารถลงมือทำได้ใน FBS Personal Area หรือแอป FBS Trader ซึ่งมือใหม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อพัฒนาทักษะการซื้อขายและเรียนรู้เกี่ยวกับการซื้อขายได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ใครคือเทรดเดอร์รายวันที่ร่ำรวยที่สุดในโลก?
เทรดเดอร์ที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ชอบที่จะไม่เปิดเผยตัวตน นั่นเป็นเหตุผลที่เราอาจไม่มีวันรู้คำตอบนี้เลย อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ทั้งหมดที่กล่าวถึงในรายการของเราทำเงินได้มหาศาล
ใครคือผู้ที่ทำเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์?
จอร์ส โซรอสวางเดิมพันครั้งใหญ่กับเงินปอนด์อังกฤษและทำเงินได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงในปี ค.ศ. 1992 เขาขายชอร์ตเงิน 5.5 พันล้านปอนด์ในวัน Black Wednesday และล้มธนาคารกลางอังกฤษ
เทรดเดอร์รายวันใดที่ประสบความสำเร็จจากการฉ้อโกง?
นิค ลีสันทำให้ธนาคาร Barings Bank ล้มละลายและทำการซื้อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยใช้เงินของธนาคาร เขาถูกตัดสินให้จำคุก