Jerome Powell ส่งสัญญาณถึงการพังทลายของตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้น

อ่านบทความบนเว็บไซต์ของ FBS

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 10 ในรอบปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยของ Fed เข้าสู่ช่วงเป้าหมายที่ 5%-5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2007 อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์หลังการประชุมได้ยกเลิกถ้อยคำที่ว่า "การบังคับใช้นโยบายเพิ่มเติมบางอย่างอาจเป็นสิ่งที่เหมาะสม" ซึ่งได้กล่าวถึงในแถลงการณ์ครั้งก่อนหน้า สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าวงจรของนโยบายที่รัดเข็มขัดในปัจจุบันอาจสิ้นสุดลง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะหยุดลงชั่วคราว

ในขณะที่ตลาดต่างเฝ้ารอการสิ้นสุดของวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างใจจดใจจ่อ และมองหาสัญญาณใด ๆ ของการพลิกกลับของนโยบายการเงิน ประกาศแบบผ่อนปรนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ว่าวงจรนี้จะยุติลงนั้นจะถูกตลาดมองว่าเป็นเชิงลบ

บทความนี้จะมาพินิจพิเคราะห์กันว่าเหตุใดแถลงการณ์ของ Fed จึงเป็นสัญญาณขาลงสำหรับสินทรัพย์เสี่ยง นอกจากนี้ เราจะทำการพิจารณาว่าหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯ ที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างไร

วิกฤตการธนาคาร

หลังจากการล่มสลายในภาคการธนาคารในเดือนมีนาคม เมื่อธนาคาร Silvergate Bank, Silicon Valley Bank และ Signature Bank ล้มละลาย ธนาคารกลางสหรัฐฯ และกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สัญญาว่าจะทำ "ทุกวิถีทาง" เพื่อไม่ให้วิกฤตนี้ส่งผลกระทบต่อภาคการธนาคารที่เหลือ ตลอดเดือนเมษายน หุ้นธนาคารสหรัฐฯ เคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์และเติบโตเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม First Republic Bank ได้ประกาศล้มละลายเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม

ในทางกลับกัน สิ่งนี้ทำให้นักลงทุนผิดหวัง ทำให้เกิดการร่วงลงในหุ้นของหลาย ๆ บริษัทในภาคการธนาคาร อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ต้องหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์บางส่วนด้วย

สาเหตุของเรื่องนี้คือการลดลงของสภาพคล่องของธนาคาร ซึ่งเกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงและเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของสหรัฐฯ เกี่ยวกับเงื่อนไขในการออกสินเชื่อต่าง ๆ ซึ่งเทียบเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศที่เพิ่มขึ้น 1.5% เนื่องจากมีจำนวนผู้ที่กู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยสูงน้อยลง รายได้ของบริษัทต่าง ๆ ลดลง จึงทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อธนาคารลดลง และบีบให้พวกเขาถอนเงินฝากออกจากบัญชีของตน

bank deposits declining.png

แหล่งที่มา: Board of Governors of the Federal Reserve System (US)

เรามาย้อนกลับไปที่แถลงการณ์ของ FOMC และดูว่า Jerome Powell พยายามจะรายงานอะไรกับเราบ้าง เบื้องหลังการใช้ภาษาที่แยบยลนั้นมีความหมายที่เฉพาะเจาะจงมาก แม้ว่าจะไม่อาจตีความหมายได้ง่ายที่สุดก็ตาม Jerome Powell ระบุว่าจะสิ้นสุดการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง หากไม่มีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ในที่สุด Fed ก็ตระหนักได้ว่าปัญหาในภาคการธนาคารนั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก ๆ หัวหน้าของ Fed ทราบดีว่าใครที่จะได้รับแต่งตั้งให้รับผิดชอบในวิกฤตการธนาคาร อย่างที่คุณจำได้ ในเดือนสิงหาคม ปี 2021 เขากล่าวไว่ว่า "เงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม"

เราสามารถสรุปอะไรได้บ้างจากสิ่งนี้?

  • Fed เข้าใจดีว่าความวุ่นวายทางการเงินทั่วโลกอาจเติบโตอย่างรวดเร็ว
  • Fed ตระหนักดีว่าปัญหาในภาคการธนาคารร้ายแรงเพียงใด เช่นเดียวกับในภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
  • Fed ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาทำเกินไปในเรื่องของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่พ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง ในทางกลับกัน Fed รับรู้ว่าความไม่แน่นอนกำลังเพิ่มมากขึ้น และภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ จะไม่มีการตัดสินใจไหนที่จะถูกต้องอย่างแน่นอน
  • แน่นอนว่า Fed สามารถเติมสภาพคล่องให้ระบบธนาคารได้มหาศาล อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะนำมาซึ่งการสูญเสียการควบคุมอัตราเงินเฟ้อโดยสิ้นเชิง
  • สถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ แม้ว่า Fed จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง (ปัญหานี้เป็นปัญหาของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ) แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการอย่างที่ต้องการได้
  • Fed ส่งสัญญาณว่าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมันจำเป็นจะต้องทำการผ่อนปรนนโยบายการเงิน ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ ๆ ในไม่ช้าก็เร็ว

การเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลจะไม่ช่วยแก้ปัญหา

ประวัติศาสตร์กล่าวว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะต้องได้รับการแก้ไข ถึงอย่างนั้นก็ตาม สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าหรอก พรรคเดโมแครตจะยื่นข้อเสนอให้พรรครีพับลิกัน และพรรครีพับลิกันก็จะทำเช่นเดียวกัน ซึ่งอีกไม่นานจะเกิดขึ้นแน่ ๆ โดยปกติจะเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่เงินสดในงบดุลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะหมดลง นั่นคือ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม และเจ้าหน้าที่ก็จะยอมรับข้อตกลง

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่ากรณีนี้จะเป็นข้อยกเว้น อย่างไรก็ตาม หากปัญหานี้ยืดเยื้อออกไป ก็จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ และผลลัพธ์ก็จะเหมือนเดิม นั่นคือการเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐ

ไม่ว่าในกรณีใด ก่อนหรือหลัง "วันที่ Y และชั่วโมงที่ X" เจ้าหน้าที่จะตกลงที่จะเพิ่มเพดานหนี้ของประเทศอีก 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยปกติแล้วผู้ที่ไม่พร้อมที่จะยื่นข้อเสนอจะสูญเสียคะแนนเสียงในการเลือกตั้งในปีหน้า

นี่คือจุดเริ่มต้นของความสนุก ทันทีที่รัฐบาลอนุมัติกฎหมายการเพิ่มเพดานหนี้ของประเทศ Fed จะเริ่มจัดหาสภาพคล่องให้กับงบประมาณของสหรัฐฯ แต่ไม่ใช่จำนวนทั้งหมดของ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะออกพันธบัตรเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้สภาพคล่อง ส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดการเงินลดลง ปัญหาจะปรากฏขึ้นหลังจากนั้นไปประมาณ 1-2 เดือนให้หลัง (เช่น มิถุนายนหรือกรกฎาคม) จากนั้นตลาดอาจตกต่ำลงเนื่องจากสภาพคล่องต่ำ

อุปสรรคเหล่านี้จะถูกเพิ่มเข้าไปในปัญหาที่เกิดขึ้นกับธนาคารต่าง ๆ ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย และอุปสรรคในตลาดอสังหาริมทรัพย์ (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงได้ทำให้การทำธุรกรรมกับอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ลดลงจนแทบไม่มีเลย)

เราต้องไม่ลืมถึงเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย สำหรับปีงบประมาณ 2023 (เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022) เจ้าหน้าที่ใช้เงินไป 3.15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ถึง 13%

จากข้างต้นสามารถสรุปได้สองข้อ:

  • กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะกู้ยืมเงินในตลาด ดังนั้น ในทางทฤษฎี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจยังคงเพิ่มขึ้น
  • สภาพคล่องในตลาดที่ลดลงอาจนำไปสู่วิกฤตสินเชื่อ สิ่งอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณา ส่งผลให้ดัชนีสหรัฐฯ ลดลง

แนวโน้มทางเทคนิค

ผู้ที่ได้ประโยชน์หลัก ๆ จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจคือทองคำ ไม่แปลกใจเลยที่มันกระโดดไปถึง 2,050 หากราคาทะลุ 2,080 ในความพยายามครั้งที่สาม ราคาจะขยับไปที่ 2,300

XAUUSD, กรอบเวลารายสัปดาห์

XAUUSD.png

อย่างไรก็ตาม การทดสอบอีกครั้งที่ขอบของกรอบด้านบนก็เป็นไปได้เช่นกัน ในกรณีนี้ คุณอาจพิจารณาเข้าตำแหน่งในช่วง 1,940.00 - 1,950.00

ดังที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น สภาพคล่องที่ลดลงยิ่งกว่าเดิมจะส่งผลเสียต่อหุ้นของธนาคารขนาดใหญ่

JPM, กรอบเวลารายสัปดาห์

JPM.png

ราคากำลังเคลื่อนไหวภายในกรอบลิ่มเฉียงขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วมันเป็นรูปแบบของขาลง เราสังเกตเห็นว่าผู้ซื้อประสบปัญหาในการกลับมาที่ราคาที่สูงกว่า 140.00 เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย เราคาดว่าจะมันจะลดลงไปอีกจนไปถึงแนวรับที่ 103.80 ในกรณีนี้ ราคาจะก่อตัวเป็นรูปแบบ “Head and Shoulders” ขาลง โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ 57.00

อย่างไรก็ตาม หากหุ้นเพิ่มขึ้นเหนือ 140.00 และปิดสองถึงสามแท่งเทียนรายสัปดาห์ที่นั่น แนวคิดโดยรวมนี้จะถูกปฏิเสธ

S&P500, กรอบเวลารายสัปดาห์

SPX.png

ดัชนี S&P500 ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับการพังทลายของตลาดซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น ราคาได้สร้างแนวต้านขนาดใหญ่ที่ 4,170.00 ขณะนี้ดัชนีเด้งออกจากระดับนี้ไปที่ 3,800.00 ในระยะกลาง ราคามักจะไปถึงแนวรับนี้และทะลุออกไป แล้วก็ขยับไปที่ 3,540.00

สรุป

ในการกล่าวคำปราศรัยระหว่างการประชุมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม Jerome Powell ยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก วิกฤตการธนาคาร อัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง วิกฤตอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ การใช้จ่ายงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ล้วนสร้างแรงกดดันต่อตลาดการเงินมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น อย่าลืมนึกถึงเส้นอัตราผลตอบแทนผกผันระหว่างพันธบัตรอายุ 2 ปีและ 10 ปี ซึ่งในอดีตเป็นสัญญาณของการล่มสลายของตลาดที่คืบคลานใกล้เข้ามา ตอนนี้คุณควรคิดถึงการปิดตำแหน่งการลงทุนระยะยาวและสร้างความมั่นคงให้กับสภาพคล่องในพอร์ตการลงทุนของคุณเอง

FBS Analyst Team

แบ่งปันกับเพื่อน:

คล้ายกัน

ข่าวล่าสุด

เปิดทันที

FBS เก็บรักษาข้อมูลของคุณไว้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ เมื่อกดปุ่ม "ยอมรับ" ถือว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา