หุ้นกลุ่ม FAANG การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

อ่านบทความบนเว็บไซต์ของ FBS

ไตรมาสแรกของปี 2023 ได้สิ้นสุดลงแล้วสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผลที่ออกมาค่อนข้างประสบความสำเร็จ ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเพียง 0.4% ใน 3 เดือน NASDAQ100 ปรับตัวขึ้น 19.4% และ S&P 500 ปรับตัวขึ้น 6.6%

ดัชนีตลาดได้เกิดความผันผวนค่อนข้างมากในเดือนกุมภาพันธ์ และถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาในภาคการธนาคารในเดือนมีนาคม ก็เป็นไปได้ว่าในช่วงปลายเดือนของไตรมาสนี้เราจะได้เห็นแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป

สถานการณ์ปัจจุบันกับ SVB ได้มีอิทธิพลต่อวิถีการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยหลัก ซึ่งนำไปสู่การกลับตัวของตลาด แต่แล้วดัชนีหลักก็ได้ปรับตัวขึ้นอย่างมากในเดือนมีนาคม

รายงาน FAANG

จากหุ้นกลุ่ม FAANG ผู้นำในไตรมาสแรกคือหุ้นของ Meta (Facebook) มูลค่าตลาดได้เพิ่มขึ้น 72.5% การเติบโตที่ชัดเจนที่สุดหลังการร่วงลงของหลักทรัพย์ คือตั้งแต่ปี 2021 ถึง 2022 (ขาดทุนสะสมอยู่ที่ 75.5%)

อันดับที่สองได้ถูกครองร่วมกันระหว่าง Apple และ Amazon ซึ่งได้ปรับตัวขึ้นมากกว่า 20%

ส่วน Netflix และ Google ปรับตัวขึ้นเกือบ 16%

แพลตฟอร์ม Meta

รายงานของบริษัทในปี 2022 ได้ออกมาติดลบ ผลประกอบการของบริษัทลดลง 1.1% สู่ระดับ $116.6 พันล้าน

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ของบริษัทได้เพิ่มขึ้น 16.7% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการวิจัยและพัฒนา (R&D) แต่บริษัทก็ไม่ได้ปิดบัง โดยบอกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ:

'การดำเนินธุรกิจของเรามีค่าใช้จ่ายสูง และเราคาดว่าค่าใช้จ่ายของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคตเนื่องจากเราได้ขยายฐานผู้ใช้งานของเรา และเนื่องจากจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นจะปริมาณและประเภทของเนื้อหาที่พวกเขาเสพและข้อมูลต่าง ๆ ที่พวกเขาแบ่งปันกับเราเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น เนื้อหาประเภทวิดีโอ เนื่องจากเราพัฒนาและนำผลิตภัณฑ์ใหม่ไปใช้ ที่เราวางตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และที่มีอยู่ และโปรโมตแบรนด์ของเรา เนื่องจากเรายังคงขยายโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคของเรา เนื่องจากเรายังคงลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และยังไม่ผ่านการพิสูจน์ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง และเนื่องจากเรายังคงพยายามมุ่งเน้นไปที่ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย การรักษาความปลอดภัย และการตรวจสอบเนื้อหา'

ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงเหลือ 28.7% จาก 39.6% และกำไรสุทธิลดลง 41% เป็น $23.2 พันล้าน

อัตราส่วนผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของบริษัทได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 18.52%

และแล้วก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ทำไมเราถึงกำลังเติบโตขึ้น?

คำตอบก็คือการเลิกจ้างพนักงาน บริษัทวางแผนที่จะเลิกจ้างพนักงานอีก 10,000 คน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน

Apple

สำหรับปี 2022 รายงานของบริษัทได้ออกมาดีมาก ๆ ผลประกอบการเติบโตขึ้น 7.7% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.4%

ตัวชี้วัดกำไรจริงจากการดำเนินกิจการ (EBITDA margin) ของบริษัทได้เพิ่มขึ้น 33.76%

ดังนั้น การดีดตัวขึ้นของหุ้น Apple จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เมื่อพิจารณาถึงตอนที่มูลค่าตลาดตกลงอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา

หุ้นของ Apple ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 แต่ปี 2022 นั้นมีลักษณะเฉพาะ คือไม่ได้เปลี่ยนทิศทางของกระแสโลกไป แต่ได้ชะลอแนวโน้มนั้นลงอย่างมากจน "ไม่เหลือ" ความเร่งที่ทำมาตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2021

Amazon

Amazon ได้รายงานการเติบโตอันแข็งแกร่งของผลประกอบการในปี 2022 (+9.3%) ในขณะเดียวกัน กำไรสุทธิของบริษัทก็ติดลบ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามากถึง $2.7 พันล้าน

เช่นเดียวกับกรณีของ Meta ผลลัพธ์ทางการเงินที่ติดลบคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของ R&D ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทอย่างมาก (+12.76%)

ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทลดลงไปสองเท่า

โดยบริษัทได้ตัดสินใจลดจำนวนพนักงานด้วยเช่นกัน ในเดือนมีนาคม เป็นที่ทราบกันดีว่า Amazon ได้เลิกจ้างพนักงานไปถึง 9,000 คน และระงับการก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่สองในรัฐเวอร์จิเนีย

Netflix

อัตราการเติบโตของผลประกอบการของ Netflix ในปี 2021 - 2022 ได้ชะลอตัวลง โดยอยู่ที่ 6.5% ในปี 2022 เทียบกับ 18.8% ในปี 2021 และ 24% ในปี 2020

รายได้สุทธิของบริษัทลดลงเล็กน้อยในปี 2022 ที่ $4.5 พันล้าน เทียบกับ $5.1 พันล้าน ในปีก่อนหน้า

ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทได้ประกาศขยายธุรกิจไปยังเวียดนาม (บริษัทมีแผนจะสร้างสำนักงานใหญ่ที่นั่น) และลดค่าสมัครสมาชิกในหลายประเทศ

Alphabet (Google)

อัตราการเติบโตของรายได้สุทธิของ Google ในปี 2022 นั้นติดลบ กำไรสุทธิลดลงถึง 21.1%

ปีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ "สงคราม" ครั้งใหญ่ในการวิจัย AI จนถึงขณะนี้ Google ก็ยังพบว่าตัวเองนั้นมีบทบาทเป็นเพียงผู้ตาม

เรื่องที่น่าอับอายได้เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ก็คือ Bard ซึ่งเป็นแชตบอตที่บริษัทได้เปิดตัวขึ้นมานั้นได้ให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ ผลที่ตามมาคือมูลค่าตลาดได้ร่วงลงไป 8%

การวิเคราะห์เปรียบเทียบบริษัทต่าง ๆ (วิธีตัวคูณ)

มาทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบกลุ่มบริษัท FAANG กันสักเล็กน้อย

เริ่มจากอัตราส่วนหนี้สิน ซึ่งจะถูกคำนวณเป็นอัตราส่วนของหนี้สินทั้งหมดของบริษัทต่อขนาดของสินทรัพย์

Debt ratio.png

อย่างที่คุณเห็น บริษัท Meta Incorporated และ Alphabet (Google) นั้นมีภาระหนี้ที่ต่ำที่สุด โดยมีหนี้สินรวมมากถึง 40% ของมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์ของบริษัท

บริษัท Apple มีภาระหนี้สูงสุด 85.6% แต่ได้รับการชดเชยด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรจริงจากการดำเนินกิจการ (Debt/EBITDA) ที่ค่อนข้างต่ำ

ค่าทวีคูณของ ราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E), ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/B) และราคาต่อยอดขาย (P/S) ของบริษัททั้งหมดนั้นเกินค่ากลางในอุตสาหกรรม (ค่ามัธยฐานจะถูกระบุไว้ในวงเล็บ)

Multipliers.png

ในขณะเดียวกัน บริษัท Alphabet (Google) ก็ดูเหมือนจะเป็นบริษัทที่มีมูลค่าต่ำที่สุดในกลุ่ม FAANG ด้วยค่าเฉลี่ย P/E ที่ 20.38 บริษัทก็ไม่ได้ถูกประเมินมูลค่าสูงเกินไป

ทีนี้มาดูที่อัตรากำไรขั้นต้นและอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าของกิจการเทียบกับกำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย (EV/EBITDA)

ที่นี่บริษัท Meta, Google และ Netflix แลดูมีความน่าสนใจ แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ Google และ Netflix จะต่ำกว่าในอุตสาหกรรม แต่ก็ยังใกล้เคียงกับค่ากลาง ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท Meta นั้นอยู่แนวหน้าของอุตสาหกรรม

Gross Margin.png

เมื่อพิจารณา EV/EBITDA (ยิ่งต่ำยิ่งดี) บริษัท Netflix นั้นมีความน่าสนใจกว่า โดยทำผลงานได้ดีในอุตสาหกรรมนี้และทำได้ดีกว่าบริษัทในกลุ่ม FAANG

เมื่อพิจารณาเรื่องอัตราผลตอบแทน บริษัทในกลุ่ม FAANG เกือบทั้งหมดสูงกว่าค่ามัธยฐานในอุตสาหกรรม แต่ไม่นับรวมบริษัท Amazon เนื่องจากรายได้สุทธิของบริษัทติดลบ

Rate of returns.png

บริษัท Apple มีอัตราผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ ROE ของ Netflix และ Google ก็ทำลายสถิติและแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดการบริษัท

ในบรรดาบริษัททั้งหมดในกลุ่มบริษัท FAANG มีเพียงบริษัท Apple เท่านั้นที่จ่ายเงินปันผล ซึ่งอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นต่ำกว่า 1%

ข้อสรุปจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบ

  1. ในแง่ของภาระหนี้ บริษัท Google ดูมีความน่าสนใจมากที่สุด บริษัท Apple มีหนี้สินค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์
  2. การทวีคูณจะช่วยยืนยันว่าบริษัทเหล่านี้เป็นผู้กำหนดตลาด เรากำลังดูหุ้นที่เติบโต และก็เป็นอีกครั้งที่บริษัท Google ดูมีความน่าสนใจมากที่สุดที่นี่ (P/E ต่ำสุดในกลุ่ม FAANG) แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะประเมินบริษัท Amazon เนื่องจากรายได้สุทธิในปี 2022 นั้นติดลบ
  3. บริษัท Meta และ Google มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง แต่บริษัทเหล่านี้มีมูลค่าประมาณ x14 EBITDA บริษัท Netflix มีราคาถูกกว่าแต่ก็มีอัตรากำไรต่ำกว่า 50% เช่นกัน ส่วนบริษัท Amazon นั้นทั้งมีราคาแพงและมีอัตรากำไรต่ำ
  4. การจัดการของบริษัททั้งหมดสามารถได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ (ยกเว้นเพียงบริษัท Amazon) บริษัท Apple มี ROE สูงสุด และบริษัท Netflix และบริษัท Google ก็มี ROE สูงเช่นกัน

แม้ว่าผลประกอบการและการเติบโตของรายได้สุทธิจะชะลอตัว แต่ Google และ Netflix ก็เป็นหุ้นที่น่าสนใจในแง่ของการลงทุน Meta ก็สมควรที่จะให้ความสนใจเช่นกัน มูลค่าตลาดของ Apple ดูเหมือนว่าจะสูงเกินไป ในขณะเดียวกัน Amazon ก็ยังดูอ่อนแอกว่าบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่ม FAANG อย่างเห็นได้ชัด

แพลตฟอร์ม FBS และการซื้อขายหุ้น

แพลตฟอร์ม FBS มี CFD ของหุ้นทั้งหมดในกลุ่ม FAANG

เมื่อซื้อขายกับ FBS คุณจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของหุ้น แต่คุณสามารถสร้างรายได้จากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเหล่านี้ได้

ข้อดีประการหนึ่งของการซื้อขายประเภทนี้คือ คุณไม่จำเป็นต้องถือเอกสารไว้ในศูนย์รับฝากซึ่งมักจะเสียค่าธรรมเนียมแยกต่างหากสำหรับการบันทึกและการถือหุ้นของคุณ

ซื้อขายกับ FBS แล้วเป็นมืออาชีพ

ลองเทรดกับ FBS

FBS Analyst Team

แบ่งปันกับเพื่อน:

คล้ายกัน

ข่าวล่าสุด

เปิดทันที

FBS เก็บรักษาข้อมูลของคุณไว้เพื่อใช้งานเว็บไซต์นี้ เมื่อกดปุ่ม "ยอมรับ" ถือว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา